วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 9 การพลัดพราก


ตอนที่ 9 การพลัดพราก
  • ผมเองไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เมื่อได้เจอกันตัวต่อตัวกับเวอร์ดิกริส ผมจำได้เกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนทั้งหมด รวมทั้งคำสอนของทูตทั้งสอง เมื่อเห็นเวอร์ดิกริสผู้เป็นที่รักปรากฏตัว ทูตทั้ง 2 คนกล่าวว่าการพลัดพรากเป็นสิ่งสำคัญต่อการรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว แต่ผมจะทนต่อการพลัดพรากกับวิญญาณอีกครั้งหนึ่งได้อย่างไรกัน
  • ผมนึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับจักรวาล โดยรู้ว่าร่างของฟรานซิสแห่งอาซัสซี เป็นร่างแฝงที่มีวิญญาณของผมอาศัยอยู่ ร่างของฟรานซิสเป็นร่างชั่วคราวในจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วชีวิตนี้มีความสำคัญอย่างไรกัน ทำไมผมต้องเสียสละการรวมวิญาณกับเวอร์ดิกริสเพื่อชีวิตที่มืดมัวเช่นนี้
  • เวอร์ดิกริสพูดผ่านจากริมฝีปากของแคลร์แห่งอาซัสซีว่า "เป็นเพราะพระเยซูเจ้า" มือที่สั่นยื่นมาจับมือผม แล้วนัยน์ตาดั่งสรวงสวรรค์ก็ได้บอกผมว่าเธอเองก็จำผมได้เช่นกัน มิชชันนารีที่มารู้สึกประหลาดใจต่อคำพูดของเธอจึงถามไปว่า "คุณพูดอะไรนะ คุณผู้หญิง" แคลร์เหลือบตาสีฟ้ามายังผม เธอพูดซ้ำประโยคเดิมว่า "เป็นเพราะพระเยซูเจ้า ฉันจึงต้องมาพบบาทหลวงฟรานซิส ที่ฉันได้อุทิศชีวิตของฉันแก่ความยากไร้และการเสียสละ ก็มาจากพระเยซูเจ้า" มิชชันนารีคนที่มาด้วยมองเธอด้วยความอยากรู้ เขารู้ว่าเธอเห็นลูกสาวคนโตของ ดัชเซส ออฟเฟรดัคซีส์ซึ่งเป็นครอบครัวชั้นสูงและมีอำนาจมากที่สุดตระกูลหนึ่ง แต่ทว่าหญิงงามผู้นี้เป็นสตรีที่งามราวดอกไม้สวยที่สุดแห่งตระกูลออฟเฟรดัคซีส์ ที่ต้องการจะทิ้งความหรูหราเลิศเลอจากบ้านพ่อของเธอ โดยการก้าวสู่บาทวิถีแห่งพระเยซู เขาสังเกตความหรูหราของเสื้อผ้าที่ฉลุลายลูกไม้งามจับตาแล้วถามว่า "แล้วครอบครัวของคุณผู้หญิงว่ายังไงบ้างในเรื่องที่คุณได้ตัดสินใจลงไป"เธอตอบอย่างอ่อนโยน โดยมองมาที่หน้าผมตลอดเวลาว่า "ฉันยังไม่ได้บอกพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยฉันต้องการให้บาทหลาวฟรานซิสช่วยตัดสินชะตาชีวิตของฉัน ฉันกระทำทุกอย่างที่ท่านแนะนำ
  • จิตของผมเริ่มปั่นป่วน ทำไมผมต้องตัดสินใจอะไรที่ยากลกบากเช่นนี้ ทำไม่ความรับผิดชอบที่ยากแสนเข็ญต้องมาตกที่ผมเพียงคนเดียว
  • แคล์ยังกล่าวซ้ำเหมือนเดิมโดยละมือที่จับผม "เป็นเพราะพระเยซูเจ้า"
  • ทันไดนั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนสะดุ้งตื่น ความทรงจำเกี่ยวกับโบสถ์และไม้กางเขนที่มีสายตาจับจ้องและเสียงของพระเยซูที่บอกให้ผมบูรณะโบสถ์นั้นได้เข้ามาโนใจผมอย่างรวดเร็ว
  • การที่ผมต้องมีชีวิตเพื่อการเสียสละและการพลัดพรากจากกันนั้นคงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นการแสดงความรักต่อพระองค์และรำลึกถึงความทรงจำต่อการเสียสละ และคำสอนของท่านที่ว่าผมต้องทนทุกข์กับการพลัดพรากที่แสนขมขื่น หน้าที่ของผมบนโลกนี้ก็คือ ผสมผสานคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระเยซูเข้าด้วยกันคำสอนของตัวผมเองก็คือ มีชีวิตเพื่อความยากไร้และการเสียสละตลอดไป 
  • เฉกเช่นกับชีวิตของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ 2 พระองค์ นับเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องเตือนให้มนุษย์รู้ว่า ทั้งมนุษย์และสัตว์ต่างๆมีความเสมอภาค
  • โดยเห็นว่าจักวาลนั้นคือวิญญาณของเรา แต่โลกมนุษย์ล้วนแต่เป็นภาพลวงตา เพื่อที่จะแสดงให้มนุษย์ชาติเห็นว่าร่างกายของมนุษย์นั้นไม่เที่ยง นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ผมต้องปฏิเสธโลกียสุขทั้งปวง รวมทั้งความรักนตัวเวอร์ดิกริสเพื่อไม่ให้ชาวโลกถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ผมอย่างแสดงให้เห็นมากกว่าว่าร่างกายและสรรพสิ่งใดๆ บนโลกมนุษย์ล้วนแต่อนิจจัง และต้องการบอกว่ามีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่จะอยู่คงทนตราบชั่วนิรันด์ การชำระบาปบนโลกได้ถูกกำหนดไว้อย่างง่ายๆ แต่เป็นคำสอนที่ลึกซึ้ง ผมรู้ถึงความสำคัญในภาระหน้าที่และความจำเป็นที่ผมต้องพลัดพรากจากเวอร์ดิกริส การเสียสละชีวิตบนโลกมนุษย์นั้นมีความหมายอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตอันเป็นนิรันด์ของวิญญาณ
  • ผมมองไปที่แคลร์แห่งอาซัสซีแล้วกล่าวว่า "เพื่อพระเยซูเจ้าถ้าคุณเต็มใจ ผมจะบอกถึงวิธีที่คุณจะรับใช้พระเจ้าและองค์พระเยซู"รอยยิ้มที่ชวนหลงใหลฉายประกายบนใบหน้าที่งดงามของเธอเธอตอบว่า "ดิฉันเต็มใจ" นัยน์ตาของเธอบ่งบอกผมว่า เธอเข้าใจกานตัดสินใจยองผมแล้ว

กลางดึกสงัด แคลร์ได้ออกจากบ้านโดยไม่มีใครรู้ และเตรียมที่จะมาหาผมและเหล่ามิชชันนารีที่โบสถ์ เซิร์ช
ออฟ แองเจิล เธอได้กล่าวสาบานว่า จะรับใช้พระเยซูต่อหน้าแท่นบูชาและเหล่านักบวชทั้งหลาย แล้วเธอก็ได้
เปลี่ยนชุดที่สวยหรูไปเป็นชุดผ้าป่านและรองเท้าแตะ ซึ่งจะเป็นเพียงเครื่องแต่งกายของเธอเท่านั้นเธอไม่เคย
กลับไปหาบิดาที่คฤหาสน์อีกเลย แต่ใช้เวลาที่เหลือในชีวิตกับความยากไร้เพียงอย่างเดียว แต่แคลร์แห่งอาซัสชี
จะเป็นบุคคลที่โลกจดจำเสมอเหมือนเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์สุดที่เคยอาศัยอยูบนดาวเคราะห์ดวงที่ 3 แห่งระบบ
สุริยจักวาล


ในช่วง 15 ปีต่อมา ผมได้นำสายธารแห่งความศรัทธาไปยังทุกหนทุกแแห่งที่ผมไปเยือน คณะมิชชันนารีกลุ่ม
ย่อยได้ขยายแพร่หลายเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่เพราะในดินอันอุดมสมบูรณ์ โดยเผยแพร่ด้วยแนวทางแบบอย่าง
ความรักของพระเยซู และคุณธรรมความดีของชีวิตสมถะที่แพร่หลายไปทั้งทั้ง 4 มุมโลก แม้ว่าเราจะมีกฎบังคับ
สำคัญข้อหนึ่งนั้นก็คือ ปฏิเสธความสุขทางโลก และการขออาหารและความช่วยเหลือนั้น แต่ก็ยังมีชายหนุ่มนับ
พันได้เข้ามาเป็นแนวร่วมจากทุกชนชั้นสังคม


การอุทิศตนให้คำสอนของพระเยซูเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนปีที่เปลี่ยนไป ความสมถะที่สูงส่งและการยอมรับใน
เจตจำนงของพระเจ้า เป็นบทเรียนชีวิตที่มีค่าซึ่งผมได้เรียนรู้ในโลก และไม่ว่าชีวิตบนโลกของเราจะยาวนาน
เพียงใด ชีวิตก็เป็นแค่กรวดทรายหากเปรียบเทียบกับความเป็นอมตะแห่งวิญญาณ นี่คือเหตุผลว่าทำไม่พระเยซู
ทนต่อการยั่วยุที่รุมเร้าเช่นนั้นได้ พระองค์รู้ว่าสิ่งยั่วยุจะเกิดเพียงชั่วชณะ และความเจ็บปวดก็เป็นภาพลวงตาที่
เหมือนกับความสุขความพอใจ พระองค์ทรงควบคุมตัวเองเหนือสิ่งเหล่านี้ได้โดยควบคุมวิถีชีวิตในโลกโลกียสุข
สิ่งปาฏิหารย์ที่พระองค์ทรงกระทำนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะพระองค์เข้าใจในจักรวาลกฏเกณฑ์

ทันทีที่ผมเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ผมได้เก็บตัวเพื่อเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ ผมคิดว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์ โลก
และท้องฟ้าแม่น้ำและท้องทะเล ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงถึงการสรรสร้างของพระเจ้าธรรมชาติเหล่านี้ล้วนเป็นพี่เป็น
น้องของผม เพราะโลกของเราเป็นส่วนหนึ่งของพลังเอกภาพแและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อผมได้คิด
ถึงแนวคิดเรื่องความเป็นเองภาพของจักรวาลนั้น ผมสามารถแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่พระเยซูทรงกระ
ทำเช่นกัน พระองค์ทรงกำหนดวิญญาณของผม โดยมือและเท้าของผมเริ่มมีรอยแผลเป็นจากการที่พระองค์
ได้ถูกทรมารอย่างแสนสาหัส


สำหรับในบรรดามิชชันนารี รอยบาดแผลถือเป็นสัญสักษณ์แห่่งการหลุดพ้นจากบาป แต่ความจริงแล้ว รอยบาด
แผลเหล่านี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเครื่องหมายแสดงตัวผมที่พระเยซูได้ประทานมา


ชีวิตบนโลกมนุษย์ของผมที่ได้เกิดเป็นพรานซิสแห่งอาซัสซีนั้นเป็นชีวิตที่มีความสมบูรณ์ที่สุด เวอร์ดิกริสเป็น
วิญญาณที่อยู่กับตัวผมตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้ร่างกายเราจะแยกออกจากกันก็ตาม


แล้วชีวิตของผมก็คือกาลสิ้นสุดโดยไม่คาดฝันมาก่อน ราวกับลมที่พัดเปลวเทียนดับ ในที่สุดเมื่อผมได้ปลดปล่อย
ความทุกข์ที่เคยแบกไว้ ผมได้กล่าวขอบคุณต่อพระเจ้าสำหรับของขวัญชิ้นสุดท้ายในชีวิตและชีวิตอันเป็นนิรันดร์
ที่ใกล้จะมาถึง ผมขอร้องบรรดามิชชันนารีพาผมไปที่สำนักชีอของแคลร์ ด้วยความสุขที่แสนสงบเมื่อผมและแคลร์
เจอหน้ากัน นัยน์ตาเธอเปล่งประกายสดใส แล้เธอก็กอดผมด้วยความรักอันเป็นนิรันด์ที่ยิ่งใหญ่ วิญญาณของผม
กระซิบว่า "เราชนะแล้ว" เธอเองได้ตอบว่า "แต่องค์พระเยซูเจ้า"

ตอนที่ 7 การอุทิศชีวิตและการให้อภัย


ตอนที่ 7 การอุทิศชีวิตและการให้อภัย

ในช่วง 2 ปี แรกของการเกิดใหม่เป็นครั้งที่สองบนโลก โจแอ็บและเจเรไม่ยังอยู่กับผมตลอดเวลา แม้ว่าผมจะ
เริ่มหัดพูดหัดเดิน ทั้งสองก็ยังอยู่เคียงข้างผม แล้ววันหนึ่งก็มาถึงเมื่อร่างอันเป็นที่รักของพวกเขาได้จางหายไป
เป็นรูปแบบการสนทนาแบบมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และผมก็ไม่เป็นพวกเขาอีกเลย

ความทุกข์ยากลำบากของผมเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อผมยังไม่ทันได้รู้จักคิดเลย ชาตินี้ผมเกิดในเมืองที่สวยงามชื่อ
กลิงคราช ตั้งอยู่บริเวณอ่าวเบงกอลในดินแดนที่วิเศษมหัศจรรย์และลึกลับ ที่รู้จักกันดีคือประเทศอินเดีย ตอนที่
ผมเกิดมาประเทศอินเดียมีการปกครองในระบอบวรรณะและนี่ก็เพื่อชดใช้ความหยิ่งทะนงของผมในชาติที่แล้ว
นับเป็นโชคชะตาที่แสนเศร้าสลดที่ผมเกิดในวรรณะที่ 5 อันเป็นชนชั้นต่ำที่สุดซึ่งก็คือ วรรณะจัณฑาล ที่น่า
รังเกียจเป็นชนชั้นที่ไม่ควรสัมผัสจับเนื้อต้องตัว ผมมีชื่อว่า จันทร์


พ่อแม่และผมอาศัยในกระท่อมโกโรโกโสมีห้องเล็กๆ แค่ 2 ห้อง ห้องด้านหน้าใช้เป็นห้องครัวที่กินข้าวและมุม
นั้งเล่น ในขณะที่ด้านหลังใช้เป็นห้องนอน พื้นของบ้นทำด้วยดินแข็ง แม่ที่น่าสมเพชของผมกำลังหุงหาอาหารที่
มีเพียงน้อยนิดซึ่งพ่อหามาได้จากการทำนารับจ้างอะไรก็ตามจากชาวนาที่อยู่ใกล้ๆ ชาวนาผู้นี้อยู่ในวรรณะศูทร
ซึ่งเป็นวรรณะที่อยู่สูงกว่าวรรณะผมเพียงลำดับเดียว และแทบจะถูกดูหมิ่นดูแคลนพอๆกัน แต่เขาก็มีความสุขที่
ดูหมิ่นถากถางพ่อของผมทุกครั้งที่มีโอกาส เขาให้พ่อทำงานพื้นๆ อย่างเช่น ทำความสะอาดบ่อส้วมซึมหรือไม่ก็
จักรเย็บผ้า ค่าจ้างที่พ่อได้รับจากากรเป็นคนใช้นั้นเป็นเงินน้อยมาก จนเราจะหาอะไรมากินไม่ได้เลย


อีกเพียงไม่นานหลังจากผมถือกำเนิดขึ้นมา น้องสาวที่ชื่อ อายิดา ก็ได้คลอดตามออกมา และในปีต่อมา นาร์ด้า
ก็คลอดตามมา และสองปีต่อมา คัดมาร์ ก็ได้คลอดออกมาอีก แค่บ้านเรามีคนแค่ 3 คนก็แทบจะอดตายอยู่แล้ว
แต่เมื่อน้องสาวคลอดออกมาอีกก็ยิ่งทำให้ความเป็นอยู่ย่ำแย่ลงมากทีเดียว เมื่อน้องชายที่ชื่อ ปาร์ซิส คุปตะ และ
กนิชะ ได้คลอดออกมา ผมเลยจำต้องออกไปขอทานตามข้างถนนเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ผมอายุยังไม่ถึง 9 ขวบ
เลยตอนเริ่มขอทาน แต่เนื่องจากผมอยู่ในสภาพสังคมอดอยาก เลยทำให้ผมดูเด็กกว่าปกติ เนื้อหนังของผมแทบ
จะหุ้มกระดูก ผ้าขี้ริ้วใช้ทำเป็นเสื้อผ้าเท่านั้น สักพักพวกผู้หญิงฐานะดีในเมืองจะสมเพชต่อเด็กอายุขนาดผม และ
อาจจะโยนเศษขนมอยู่ห่างๆ ตราบใดที่ผมไม่เดินเข้าไปใกล้พวกเขา เนื่องจากผมตกอยู่ในสภาพที่ผู้คนรังเกียจ
ไม่อยากแตะสัมผัส การแตะต้องแค่ปลายนิ้ว ทำให้เขาขยะแขยงแล้ว นี่คือความเชื่อของประเทศอินเดียในเวลานั้น


การบริจาคของหญิงฐานะดีเหล่านี้ไม่ได้มีบ่อยนัก และสิ่งที่โยนมาเป็นประจำคือก้อนหิน คำด่าสาปแช่ง และถ่ม
น้ำลาย ไม่มีใครต้องการให้พวกจันฑาลอยู่ปะปน ผมกลับบ้านด้วยรอยปูดปวมและรอยน้ำลายทุกวัน แม่ที่น่าสง
สารของผมร้องให้เสียใจ เมื่อเห็นสภาพของผม ทั้งๆ ที่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมต้องออกไปอีกครั้ง และหวังว่าท่ามกลางการ
ถูกข่มเหงรังแก ผมน่าจะพบกับความเห็นอกเห็นใจบ้าง


ความหิวโหยและการตรากตรำทำงานหนักได้คร่าชีวิตของพ่อที่ป่วยเป็นโครจากความทรุดโทรมของร่างกาย
ไป เมื่อผมมีอายุยังไม่ถึง 15 ปี แม่ต่อสู้กับโรคร้ายเดียวกันกับพ่อไม่ใหว แต่แม่ก็รู้สึกกลัวโดยอดคิดไม่ได้ถึงสิ่ง
ที่จะเกิดขึ้นกับลูกๆ ที่ยังเล็ก หากเธอตายไปอีกคน น้องชายคนสุดท้องอายุยังไม่ถึง 2 ขวบเลย


ผมรู้ว่าผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเพียงคนเดียวของครอบครัวที่มีความรู้สึกนึกคิด และใช้สติปัญญาตามปกติ และผม
มักจะหาทางนำอาหารกลับบ้าน หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้เรียนรู้กลอุบายอย่างฉลาดจากขอทานคนหนึ่งที่อยู่ใน
วรรณะเดียวกัน พวกเราจะไปที่แผงร้างแห่งหนึ่งในตลาดหลายๆ แห่ง และจะจับต้องอาหารและผักที่วางขายใน
ตลาด การจับต้องอาหารทำให้อาหารนั้นกินไม่ได้อีกต่อไป เพราะถูกทำให้สกปรกโดยพวกจันฑาล และเจ้าของ
ร้านจะขว้างอาหารออกไปที่ข้างถนน ซึ่งพวกเราจะพากันไปเก็บอาหารสิ่งนี้ได้ผลและก็เกิดบ่อยมากจนเจ้าของ
ร้านต้องจ้างยามมายืนข้างๆสินค้า หรือเก็บไว้ข้างในร้านที่พวกขอทานหยิบจับไม่ถึง ผมต้องออกไปข้างนอกอีก
ครั้งเพื่อหาอาหาร ความหิวก็มาเยือนครอบครัวเราอีกครั้ง


วันหนึ่งขณะที่ผมเดินไปรอบเมือง ผมรู้สึกว่าตัวเองได้เดินมาไกลกว่าบริเวณที่เคยเดินขอทานตามปกติ และเดิน
เข้าไปใกล้พระราชวังหลวง ซึ่งผมมองเห็นอยู่ลิบๆ ผมระวังตัวไม่ให้ยามที่เดินลาดตะเวนบริเวณข้างล่างจับตัว
ได้ ผมเดินรอบๆ กำแพงปูนปั้นที่ละเอียดประณีต โดยล้อมรอบพระราชวังที่หรูไว้ ผมแอบมองสวนสวยมหัศจรรย์
ที่สามารถเห็นได้จากช่องเล็กๆ ที่กำแพงด้วยความตกตะลึง ผมไม่รอช้าที่คิดซ้ำอีกครั้ง ผมได้ปีนกำแพงเข้าไป
และรู้ว่าตัวเองอยู่ในสวนพระราชวัง


ขณะที่เดินซุ่มอยู่หลังสุมทุมพุ่มไม้ของดอกมะลิที่หอมหวน ผมได้เดินไปรอบๆ สวน ผมไม่เคยเดินเตร่ไปใกล้
มากว่าที่เคยเดินยกเว้นหากผมต้องหนีหัวซุกหัวซุน ชั่วครู่เดียวผมก็ได้กลิ่นอาหารที่หอมตะลบมาจากด้านหนึ่ง
ของตึก ผมเลยไม่ทันระวังตัวเดินตามกลิ่นไปจนกระทั่งมาถึงประตูครัวหลวง ผมรู้สึกหิวจนแทบจะเป็นลมผม
ยื่นมือไปผลักประตูและประจัญหน้าอย่างจังกับชายร่างยักษ์ตัวสูงและมีหนวดครึ้มสีเทา


ภาพของชายที่น่ากลัวคนนี้ทำให้ผมหมดแรงแทบจะยืนไม่อยู่ด้วยความตกใจกลัวและผมก็ต้องอยู่ที่นี่่ ถ้าเขาได้
ใช้มือขนาดยักษ์จับกระชากคอผมและดึงผมเข้าไปในตึก เมื่อผมฟื้นจาการหมดสติผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในโรงครัว
ที่มีอาหารมากมายกว่าที่เคยเจอผู้ชายที่ลากตัวผมเข้าไปแนะนำตัวเองว่าชื่อ สิทธัตถะ มีหน้าที่เป็นพ่อครัวในราช
สำนัก เขาบอกผมว่า ความบ้าบิ่นของผมจะทำให้ผมได้รับบทเรียนราคาแพงถ้ายามในวังพบตัวผมเข้า เมื่อผม
ถามพ่อครัวว่าเป็นวรรณะใด เขาอยู่ในวรรณะแพศย์หรือวรรณะลำดับที่ 3 นั่นเอง แต่ระบบแบ่งแยกวรรณะไม่
ได้จำเป็นต่อเขาเลยเพราะเขาเลิกนับถือศาสนาฮินดูไปปนับถือศาสนาพุทธ


เขาบอกว่า "มีแต่เพียงศาสนาฮินดูเท่านั้นที่ยึดถือเรื่องระบบวรรณะ ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้สถาปนาศาสนาใหม่นี้ขึ้น"

"ศาสนาอะไรหรือ ที่ไม่สนใจระบบวรรณะ และทำให้พวกจัณฑทาลและวรรณะแพศย์เสมอภาคกัน"
เขาตอบว่า "ศาสนาพุทธ จะบอกว่า มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันและไม่มีใครสูงไปกว่าใคร"

ผมถามอย่างไม่เชื่อนักว่า "ไม่เว้นแม้แต่วรรณะพราหมณะเลยหรือ"

สหายใหม่นี้ทำให้ผมมั่นใจโดยการยิ้มตอบว่า "ไม่เว้นแม้แต่พวกพราหมณ์"

จากที่เราได้คุยกัน เขาอธิบายว่า พระพุุทธเจ้าเคยเป็นเจ้าชายและชื่อจริงของท่นคือ สิทธัตถะโคตมะ เจ้าชาย
พระองค์นี้ได้ละทิ้งพระราชวัง พระชายา และพระกุมาร เพื่อแสวงหาสัจธรรมที่แท้จริงโดยพระองค์พบขณะนั่ง
ใต้ต้นโพธิ์จากการตรัสรู้ พระองค์ได้ทรงค้นพบว่า ปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงเกิดจากความตะหนี่ ความอิจฉา
ริษยา และความเห็นแก่ตัว นับตั้งแต่นั้นมาพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความ
เสมอภาคกันและสัจธรรม พุทธเจ้าทรงตรัสว่า การที่เราจะมีความสุขนั้น มนุษย์ต้องลืมความเป็นอัตตา และการ
มีชีวิตเพื่อรับใช้คนอื่น มีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่วิญญาณของเราประสบกับความสงบสุขอันปีติ และความ
สุขเรียกว่า นิพพาน หากไม่เข้าถึงนิพพานชาติหน้าก็คงเป็นชาติหน้าเพราะพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า วิญญาณ
ทุกดวงจะสัญจรผ่านวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด ในขณะที่พวกวิญญาณกำลังค้นหาการชำระบาป และได้พบ
กับการเสวยสุขในนิพพานในบั้นปลาย


ผมได้ยินคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกจากปากของสิทธัตถะ สะท้อนให้นึกถึงคำสอนที่ได้ลืมไปนาน
มากแล้วผมรู้สึกว่าผมเคยได้ยินบางสิ่งที่คล้ายๆ กันนี้เมื่อตอนยังเป็นเด็ก แต่จำไม่ได้ว่าที่ใหน หรือใครเล่าให้ฟัง
เสียงของโจแอบและเจเรไมได้หายไปนานแล้วจากความทรงจำของผม


สภาพที่น่าใาเพชเวทนาที่ผมเป็นพวกจันฑาล และสภาพสิ้นหวังของครอบครัว ทำให้สิทธัตถะเอาของกินที่ผมไม่
เคยลิ้มสองใส่เต็มถุง และชวนให้ผมมาอีกในวันรุ่งขึ้น แต่เขาเตือนว่าอย่ามาที่โรงครัวให้มาอีกด้านหนึ่งแทน ซึ่ง
เป็นที่ๆ เขาจะคอยผมโดยจะนำอาหารถุงใหม่มาให้ เมื่อผมมาถึงบ้านโดยมีอาหารอร่อยติดไม่ติดมือมาด้วย ซึ่ง
เป็นของโปรดที่เราไม่คิดว่าจะได้กินมาก่อน คนในบ้านนั่งใกล้อาหารอย่างตื่นเต้น นานมาแล้วที่คนในบ้านไม่
เคยกินอาหารดีๆจนการกินอาหารครั้งนี้เป็นเหมือนสิ่งที่อยู่นอกความฝัน


ในวันต่อมาผมได้มายังที่ๆ สิทธัตถะได้นัดแนะไว้อย่างกระตือรือร้น หลังจากที่ผมคอยสิทธัตถะเพียงครู่เดียว เขา
ก็หอบถุงมากมายและของกินอร่อย ทุกชนิด เมื่อได้กล่าวทักทายอย่างรักใคร่แล้ว เรานั่งกินอร่อยๆ ทุกชนิด เรา
นั่งลงข้างริมน้ำ แล้วสิทธัตถะก็เล่าสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาได้เล่ามาแล้วตั้งแต่วันแรก


การพบปะกันทุกวันที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายเดือน และผมมักจะได้อาหารที่หล่อเลี้ยงทั้งกายและใจ ในแต่ละวัน
ผมได้ซึมซับคำสอนที่ดีงามของพระพุทธเจ้าได้มากขึ้นและะเริ่มยอมรับในเรื่องความเป็นหนึ่งเดี่ยวกันของมนุษย์
และเรื่องความจำเป็นที่ต้องเสียสละเพื่อผู้อื่นสภาพที่เป็นพวกจันฑาลไม่ได้ทำให้รู้สึดเดือดเนื้อร้อนใจอีกต่อไป
เพราะผมรู้ว่าเป็นเพียงกรรมส่วนหนึ่งของผมเท่านั้น และเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบจิตใจที่ต้องยอมรับไว้
โดยเป็นบทเรียนที่ผมต้องเรียนรู้ชีวิตในภพปัจจุบัน ในที่สุดจะผ่านไปและน่าจะมีภพอื่นๆในช่วงที่ผมต้องชดใช้
ทั้งความทุกข์เข็ญและการกระทำความดี


ผมสามารถซื้ออาหารดีๆ กินและยารักษาโรคด้วยเงินที่สิทธัตถะให้มา ซึ่งทำให้ผมคลายกังวลเรื่องการเจ็บป่วย
ของแม่ได้เป็นอย่างมาก และทำให้น้องชายและน้องสาวมีสีหน้าที่แจ่มใสอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่คง
ทนถาวร และมีบางสิ่งบางอย่างในใจผมได้บอกว่า เหตุกาณ์ที่กำลังดีอยู่นี้กำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้านี้ ผมไม่รู้ว่า
ตัวเองทราบสิ่งนี้ได้อย่างไร บ่อยครั้งที่ผมตื่นกลางดึก เหงื่อท่วมตัวเปียกโชกและรู้สึกใจหาย ผมรู้ว่ามีเหตุการณ์
บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ผมจึงเริ่มเก็บตุนอาหารเหมือนกระรอกอาหารที่ผมได้มาจากสิทธัตถะทุกวันนั้น ผม
แบ่งอาหารเป็นส่วนๆอย่างพอเหมาะสมโดยซ่อนไว้ในตู้กับข้าว แม่ของผมยิ้มในความคิดห่วงใยและบอกผม
ว่าผมระแวงเกินไป แต่ในบางครั้งผมก็มองเห็นแม่จ้องอย่างวิตกกังวลโดยแสดงออกจากใบหน้าที่ซูบผอมของแม่


ในที่สุดวันที่ผมกลัวก็มาถึง ซึ่งผมรู้ว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดผมรู้สึกถึงความปลอดภัยโดยได้รับความช่วยเหลือ
จากเพื่อนที่ซื่อสัตย์นั้นได้ถูกทำลายโดยการทำลายที่ป่าเถื่อน สาเหตุที่ว่านี้เกิดจากการบุกรุกเมืองกลิงคราชของ
พระเจ้าอโศกมหาราช จักรพรรดิชนเผ่าโมรยันที่ได้ครอบครองอินเดียเมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา

การบุกรุกโจมตีเมืองกลิงคราชนั้นโหดร้ายรนแรงมาก เหลือเพียงแต่ซากร้ายภายในไม่กี่ชั่วโมง ครอบครัวผม
ต้องกอดคุดคู้ด้วยความกลัวอยู่ในกระท่อม ขณะที่เพื่อนบ้านที่ตกในสภาพแย่กว่าได้กรีดร้องเสียงดังอยู่รอบๆ
ครอบครัวเรา นั่งเป็นครั้งแรกที่ชีวิตผมดีใจที่ได้เกิดมาเป็นจัณฑาล ในขณะที่ผู้บุกรุกรานล้วนอยู่ในวรรณะสูง
กว่า ไม่ได้ทำลายบริเวณที่พวกจัณฑาลอยู่


ผมมองการณ์ไกลที่ได้เก็บตุนอาหารไว้ โดยคิดถึงตอนเกิดภัยพิบัติ สิ่งนี้ทำให้เรารอดชีวิตในช่วงเวลาที่ยาก
ลำบากช่วงแรกๆ เมื่อสิ้นสัปดาห์แรก อาหารของเราก็เริ่มร่อยหรอลงไป ผมมีความหวังว่าจะยังคงมีพระราชวัง
และมีสิทธัถะเป็นพ่อครัวในวังอยู่ คราวนี้ผมได้พาน้องชายชื่อ พาร์สิส ไปด้วยตามที่แม่แนะนำ โดยน้องชายมี
อายุยังไม่ถึง 6 ขวบ แต่เป็นเด็กฉลากและจดจำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้ดีเหมือนกับผม รวมทั้งเรื่องอื่นๆ
พาร์สิสไม่รู้ว่าอินเดียมีระบบวรรณะเพราะผมได้สาบานที่จะช่วยให้น้องคนนี้ รวมทั้งน้องชายน้องสาวคนอื่นๆ
รอดพ้นจากบาปมลทินจากต้นกำเหนิด โดยใช้ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อออกจากบ้านซึ่งเป็นสิ่งที่แย่กว่าที่คาดคิดจากที่กลิงคราชเคยเป็นเมืองที่สวยงาม ตอนนี้ไม่มี
อะไรเหลือเลยนอกจากเศษขี้เถ้าและซากปรักหักพัง ผมและน้องชายได้เดินผ่านตัวเมือง เราพบเห็นความพินาศ
ที่เป็นผลมาจากภัยสงครามไม่ว่าจะเป็นศพถูกไฟเผาไหม้จนเกรียม เด็กหลงทางร้องไห้โฮหาแม่ส่วนแม่ก็โกลา
หลหาลูกอย่างสิ้นหวัง ความหิว ความหวาดกลัวกาฬโรคและความตาย ส้วนประดังประเดถาโถมความรู้สึกพร้อมๆกัน


ผมรู้สึกสยดสยองต่อภาพที่เห็น ผมเลยตัดสินใจเดินตรงไปยังพระราชวังโดยหวังจะได้พบกับสิทธัตถะอีก เมื่อเดิน
เข้าไปข้างใน เราสองคนไม่เห็นร่องรอยของผู้บุกรุกเลย และเริ่มจะมีความหวังว่าพวกข้าศึกคงจะทิ้งเมืองร้างนี้
ไว้ แล้วผมได้มองไปที่กำแพงพระราชวังและกองทหารติดอาวุธที่ยืนล้อมรอบกำแพง ผมรู้ทันทีว่าพวกทหาร
เหล่านี้เป็นกองทัพของพระเจ้าอโศก เพราะเครื่องแบบแตกต่างจากยามในพระราชวัง


ผมวาดเท้าเข้าไปใกล้เหล่าทหารทีละเล็กทีละน้อย พาร์สิสน้องชายผมจับเสื้อผมไว้ เรามั่นใจว่าเด็กอายุขนาดเรา
จะต้องป้องกันให้เราแคล้วคลาดจากความรุนแรงได้ และหวังไปเองว่า สภาพที่เราเป็นจัณฑาลจะทำให้มีคนบริจาค
ทานให้ เมื่อผมมาถึงระยะห่างพอสมควรจากพระราชวังผมเห็นชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าประตูสวนสวมเสื้อคลุมปักดิ้นทอง


ผมกระซิบกับน้องชายว่า "นั่นคงเป็นพระเจ้าอโศกแน่เลยผมแน่ใจว่าพระองค์ต้องตัดสินใจยึดครองพระราชวัง
เป็นแน่ นี้คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำให้พระองค์ถึงไม่ทำลายพระราชวังแห่งนี้"


พาร์สิสถามผมว่า "พี่คิดว่าสิทธัตถะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า"
ผมตอบอย่างเศร้าๆ ว่า "พี่ก็ไม่รู้ แต่สงสัยอยู่เหมือนกัน ผมไม่คิดว่าพระเจ้าอโศกจะปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดไปได้"
พาร์สิสกล่าวต่อไปว่า "พระเจ้าอโศกต้องมีอำนาจมากๆ เลยน้องไม่เคยเห็นเสื้อผ้าแบบนี้มาก่อนเลย พี่จันทร์คิดว่าพระองค์จะบริจาคทานแก่เราหรือเปล่า ถ้าเราเข้าไปหาพระองค์"


ผมส่ายศรีษะโดยรู้ว่าพวกจัณฑาลไม่อาจเข้าไปใกล้กลุ่มคนในวรรณะสูงสุดของพวกพราหมณ์ได้ซึ่งอาจมีโทษ
ถึงตาย แต่ตัวพาร์สิสเองไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องวรรณะ โดยแทบจะไม่รู้เลยว่าเรานั้นเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ
มากที่สุดในอินเดีย


ทันไดนั้นพาร์สิสก็พูดขึ้นว่า "ผมจะไปขอรับบริจาคทายจากพระเจ้าอโศก ผมแน่ใจนะพี่ว่าเขาจะไม่ปฏิเสธเรา"

ก่อนที่ผมจะห้ามพาร์สิสได้ทันนั้น เขาวิ่งผละออกจากเสื้อผมไปและวิ่งตรงไปยังแถวกองทหารที่อารักขาอยู่รอบๆ พระเจ้าอโศก
ผมร้องตกใจกลัวว่า "อย่าไป พาร์สิส รอก่อน" ผมรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ใดรอคอยอยู่หากน้องชายเข้าไปใกล้กับ
พระเจ้าอโศกแต่พาร์ลิสไม่สนใจเสียงเรียกของผม และยังวิ่งต่อไปยังพระเจ้าอโศกผมวิ่งตามน้องไปย่างสิ้นหวัง
แต่เมื่อวิ่งไปถึงตัวน้องชาย ความกลัวอย่างสุดขีดก็ได้เกิดขึ้น

น้องชายผมบริสุทธิ์ไร้เดียงสาต่อการฆ่าล้างที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเขาที่ได้เข้าไปหากษัตริย์รุกรานผู้ยิ่งใหญ่ และ
ยื่นมือเล็กๆไปจับชายเสื้อของพระเจ้าอโศก แล้วนำมาสัมผัสที่ปาก ทันใดนั้น ผมก็วิ่งมาถึงตัวน้องพอดี แล้วทุก
สิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนในฝัน พระเจ้าอโศกหันมามองที่พวกเราด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทหารอารักขาพระองค์
ไม่อาจยับยั้งน้องผมได้ ซึ่งการกระทำของน้องผมทำให้เหล่าทหารตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกทหารถอดดาบ
ออกจากฝักแต่ไม่ได้ใช้มัน พวกทหารต่างขยะแขยงและโมโห เมื่อนึกถึงพวกวรรณะจัณฑาลได้จูบประทับบน
ชุดพระมหากษัตริย์ พวกเขาเลยถอยกรูอย่างตกตะลึงและรอดูปฏิกิริยาของพระเจ้าอโศก


พระเจ้าอโศกโกรธจนตาลุกเป็นไฟ
พระองค์ตะคอกว่า "ไอ้สัตว์ชั้นต่ำ" พร้อมชักดาบที่มีประกายวาววับออกมาจากฝักดาบสีทองช้าๆ แล้วพูดต่อว่า
"มึงกล้าดียังไงถึงเอามือชั่วช้า มาสัมผัสแตะต้องตัวข้า เพราะมึงแท้ๆ ที่ทำให้ข้าต้องต่ำทรามเหมือนมึงและมึง
ต้องชดใช้ความชั่วก่อนที่จะสัมผัสคนอื่นๆในวรรณะเดียวกับข้าอีก เตรียมตัวตายซะเถอะ"


ก่อนที่ดาบจะฟันตัดคอน้องชายผม ผมได้ก้าวเอาตัวขวางหน้าตัวน้องไว้

ผมโอดครวญอย่างสิ้นหวังว่า "ได้โปรดเถอะพระเจ้าข้า! น้องชายผมไม่ได้ผิดเลย ผมต่างหากที่ไปแตะต้องตัว
พระองค์ เปล่าใช่น้องชายข้าพเจ้าเลย"


พระเจ้าอโศกถือดาบในมือและจ้องมองอย่างโกรธเคืองมาที่ผม

พระเจ้าอโศกตะคอกใส่ว่า "นั้นมึงก็ยอมรับต่อการกระทำของมึงนะสี ทำไม่มึถึงกล้าทำเช่นนี้ได้หือ รู้มั้ยว่าข้าอยู่ในวรรณะพราหมณ์"
ผมร้องคร่ำครวญว่า "เนื่องจากผมหิวมาก ผมถึงอยากขอรับบริจาคทาน ผมเลยลืมเรื่องวรรณะของท่าน"
พระเจ้าอโศกแผดเสียงขึ้นมาว่า "ข้าแน่ใจว่ามึงจะจำสิ่งนี้ได้แม่นยำในภาพภาหต้า ยี่นมือของมึงออกมาซิ"
ผมยื่นมือออกไปสั้นด้วยความกลัว

ดาบได้ฟันฉับเหมือนแสงพระจันทร์สีเงินวาบหนึ่งลงบนแขนของผม แล้วเลือดได้ใหลทะลักนองมือที่ยื่นออกไป
เมื่อครู่นี้ ขณะที่ผมตกอยู่ในภวังค์ไม่รู้สึกตัว ผมได้ยินน้องผมกรีดร้องดังออกมาจากลำคอ


พาร์สิสกรีดร้องตัวสั่นสะอื้นไห้แล้วพูดว่า "ผมเองครับพระองค์ผมเองที่ทำ ไม่ใช่พี่ชายผมเลยที่ทำผมเองต่างหาก
โปรดตัดแขนผมด้วยเถิด" 
ว่าแล้วพาร์ลสิสก็ยื่นแขนอันน้อยนิดไปข้างหน้าพระเจ้าอโศกเพื่อตัดเสีย

พระเจ้าอโศกจ้องมาที่พวกเราครู่หนึ่งและพระพักตร์พระองค์ก็ถอดสี

พระองค์กล่าวว่า "เป็นความจริงหรือที่มึงไม่ได้แตะต้องตัวข้า"

ผมล้มลงคุกเข่าด้วยขาทั้งสองข้าง แขนของผมชาไปหมดตั้งแต่ข้อศอกลงไป ผมไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่การเสียเลือด
และสภาพที่ขาดอาหาร ทำให้ตาและใจของผมเริ่มมองไม่เห็น 

ผมกล่าวอย่างไม่ได้สติว่า "ไม่พระองค์ ไม่ใช่กระผม"
"แต่น้องชายผมเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่มีใครเคยสั่งสอนเขาเรื่องความแตกต่างของวรรณะต่างๆ เขารู้แต่เพียงคำสั่ง
สอนของพระพุทธะเจ้าที่ทรงตรัสไว้ว่า มนุษย์เราเท่าเทียมกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไม่น้องผมถึงกล้าแตะต้องพระองค์
เราเป็นพี่น้องกัน มีความรักใคร่ตรึงอยู่ในจิตใจของปุถุชน ให้อภัยเขาด้วยเถิดพระองค์ทรงกรุณาด้วยเถิด"


ผมได้ยินพระเจ้าอโศกสั่งเหล่าทหารในขณะที่ผมเริ่มลืมตาไม่ขึ้น "เอา เร็วเข้า ใครก็ได้ช่วยห้ามเลือดที แล้วพา
ไปหาหมอของข้าด้วย"


แต่ไม่มีใครเชื่อพระองค์เลย ผมยังเป็นจัณฑาล และไม่มีใครใรวรรณะชั้นสูงจะเข้ามาใกล้ ปล่อยให้ความอ้างว้างช่วยชีวิตผม
พระเจ้าอโศกหันมาพูดกับน้องชายผม
"เอ้า !เจ้าเด็กน้อย มาช่วยฉันที" พระเจ้าอโศกใช้ดาบที่เปื้อนคราบเลือดตัดชุดที่ทำจากผ้าสินินออกเป็นเส้น และ
พาร์สิสก็ช่วยรัดผ้าอย่างแน่นรอบๆ แขนที่ถูกตัดซึ่งมีเลือดใหลตรงส่วนปลาย เมื่อพระเจ้าอโศกได้ช่วยทำแผล
พระองค์คุกเข่าข้างร่างของผมที่นอนอยู่ และยกศรีษะไว้ในอ้อมแขนของพระองค์ต่อหน้าต่อตาที่แทบไม่น่าเชื่อ
ของเหล่าทหารของพระองค์


พระองค์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ยกโทษให้ขข้าด้วย ยกโทษข้าเถอะ จริงแล้วๆ เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง
แต่เจ้าได้สอนคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องไม่ให้เป็นแก่ตัว"


ผมตอบว่า "พระองค์ต่างหากที่ต้องให้อภัยแก่ผม ในชาติก่อนผมอคติต่อพระองค์อย่างมาก และได้เข่นฆ่าชีวิต
พระองค์ ตอนนี้ผมอยู่ที่หนทางแห่งอมตะ ผมจังจำได้โดยตลอด ขอให้พระองค์อย่างเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เป็นเรื่องของกรรมที่เราแแต่ละคนต้องชดใช้ ผมขอเพียงพระองค์สัญญากับผมว่าจะดูแแลมารดาของผมและ
พี่น้องทั้งหมด"


พระเจ้าอโศกตรัสว่า "ข้าสัญญา จงไปสู่สุติเถิด"
นี่คือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินในชาติที่สองทีเกิดมาบนโลก

ตอนที่ 10 สองร่างหนึ่งใจ ( จบ )

ตอนที่ 10 สองร่างหนึ่งใจ ( จบ )

  • ความคิดเรื่องเวลาไม่ได้สลักสำคัญอะไร เมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นอมตะของวิญญาณแม้ว่าผมได้จากโลก
  • มนุษย์มาก่อนเวอร์ดิกริส 27 ปี เราก็มาถึงพร้อมกับเจเรไมและโจแอ็บ ความสุขที่ฉายแสงจากร่างของทูตที่รักเคารพนั้นดูเจิดจ้ามากกว่าแสงของตัวเราซะอีก
  • เจเรไมกล่าวว่า "นานเท่าไหร่แล้วที่คุณต้องเฝ้าคอยและคุณต้องเกิดกี่ชาติ กว่าที่พวกคุณจะสามารถพบกันได้ ณ ประตูแห่งความเป็นอมตะนิรันดร์"
  • ผมกล่าวออกไปขณะที่วิญญาณเปี่ยมด้วยความสุขสงบว่า "ผมเข้าใจแล้วว่าตอนนี้การรอคอยเป็นสิ่งจำเป็นยังมีอะไรอีกมากมายที่ผมต้องเรียนรู้ และผมต้องชำระบาปให้อีกหลายเรื่องก่อนที่ผมจะได้พบสัจธรรม"
  • โจแอ็บกล่าวขณะที่เปลวรัศมีส่องสว่างอย่างนวลตาว่า "สัจธรรมคืออะไร"

  • ผมตอบไปว่า "การรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นที่สุดของทุกสิ่ง จะมีเพียงสัจธรรมเพียงอันเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสภาพที่ไร้กาลเวลาอยู่"
เจเรไมตอบว่า "คุณรู้รึเปล่าว่าตัวคุณเป็นใคร"
ผมตอบว่า "ผมเป็นวิญญาณแห่งห้วงจักรวาล เป็นหน่วยอะตอมที่มาจากสรรสิ่งที่สร้างขึ้นมา"
โจแอ็บตอบว่า "แล้วเวอร์ดิกริสล่ะคือใคร"
ผมตอบว่า "ตัวผมเองนี่ไงคือเวอร์ดิกริส"
ทูตคนเดิมกล่าวว่า "ในช่วงเวลาแห่งความสุข เวอร์ดิกริสไปอยู่ที่ไหนล่ะ"
ผมตอบว่า "เธอจะสถิตอยู่ในกายผมตลอดเวลาตลอดไป แต่ผมได้อาศัยอยู่ในร่าง ผมจึงมองไม่เห็นเธอ ต้องเป็น
ที่เมืองอาซัสซีที่สุดท้ายที่จำเธอได้ แต่ก่อนที่จะเจอกัน เวอร์ดิกริสต้องพลัดพรากจากผมตั้งแต่แรกเลย แต่การ
พลัดพรากจากกันเท่านั้นที่ผมสามารถได้เจอเธอได้"

ทูตทั้ง 2 คนกล่าวว่า "ในที่สุดคุณก็บังเกิดความรู้แจ้งแล้วและคุณ 2 คนก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน"

ผมเห็นตัวเองอยู่ในวงรัศมีขนาดใหญ่ที่เกิดจากรุ้งหลากสีที่งดงามจรัสตา โดยตัวผมถูกกลืนในแสงพร่าของแสงสี
ขาวเจิดจ้าผมรู้สึกว่าตัวเองถูกดูดไปอยู่ตรงกลางแสงแห่งจักรวาล วิญญาณของผมได้แผ่กว้างไปในลำแสงแห่ง
ความรักที่ไม่อาจบอกได้ และพร้อมกันนั้นผมได้ยึดติดกับแกนกลางของอะตอมอันเป็นจุดที่ตั้งแห่งจักรวาล จาก
ชั่วพริบตาที่น่ามหัศจรรย์ใจ ผมรู้สึกว่าเวอร์ดิกริสได้สั่นระริกอยู่ในกายผม ก่อนที่วิญญาณของเราจะหลอมกันเป็น
อมตะนิรันดร์ความสุขที่เปี่ยมล้นเป็นนิรันดร์นั้นทำให้ชีวิตของผมเป็นอมตะ


วิญญาณอันบริสุทธิ์ของผมได้ทะยานไปยังใจกลางของจักรวาลอย่างรวดเร็ว เพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
อันเป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งทั้งปวงที่ปรากฏอยู่ แสงแห่งจักรวาลที่เจิดจ้าสว่างกว่าดวงอาทิตย์นับล้านดวงได้สาด
ส่องจักรวาล จนสว่างไสวพวยพุ่งไปด้วยแสงรังสีแกมมาที่ไกลจนสุดตา รวมทั้งทำให้สาดส่องสิ่งต่างๆ ที่เราเอง
ยังไม่รู้จักบนโลก แสงนี้สว่างเกินกว่าที่ตาของมนุษย์จะมองเห็นตรงกลางแสงจักรวาล โดยภายในวงกลมที่มี
เปลวไฟสว่างไสวนั้น จะมีเหล่าวิญญาณประเสริฐบริสุทธิ์ที่สุดอาศัยอยู่โดยเป็นผู้ที่มีความสุขจากความรักและ
ความเสียสละที่จะได้รับอยู่ตลอดกาล โดยจะเป็นแสงแห่งพระเจ้า ในบรรดาวิญญาณเหล่านั้น ผมจำวิญญาณที่
สิ่งประกายของพระพุทธเจ้าและแสงอันวิเศษของพระเยซู


ในขณะที่ผมมาถึง ณ สถานที่สวยงามบนสวรรค์ วิญญาณของผมก็ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเหล่า
นี้ด้วยความสุขตลอดกาล ผมรู้อย่างแน่ชัดตอนที่ตนเองปรากฏอยู่ในแสงว่า แสงนี้คือพระเจ้าที่ต้องรับผมด้วยความ
อ่อนโยนอันไร้ขีดจำกัด ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนี้ได้อย่างไร


โจแอ็บกระซิบบอกกับวิญญาณผมว่า "เคอร์คูเดียน ในที่สุดคุณได้เจอความสุขแล้วใช่มั้ย"
ผมตอบว่า "เป็นความสุขที่เป็นอมตะนิรันดร์"
"งั้นเคอร์คูเดียนคุณมากับผม คุณจะได้เห็นภพภูมิอื่นๆ ที่ไม่เคยมีความสุขเช่นนี้ปรากฏเลย"

ผมลงไปยังภพภูมิในโลกวิญญาณอย่างรวดเร็ว เราได้เดินทางห่างจากความสุขอันเป็นนิรันดร์ซึ่งอยู่เบื้องหลังที่
พระพุทธเจ้าเรียกว่านิพพาน แสงพระเจ้าได้เริ่มจางหายไปจากตัวเรา และเลือนสลายกระจายเป็นสีต่างๆนับพัน
สีที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อพวกเราเดินทางลงต่อไป ผมเห็นภพภูมิแต่ละแห่งแตกต่างกัน อย่างเช่นผู้คน
ที่อาศัยอยู่ภพภูมิของวิญญาณที่มีการพัฒนา แต่ยังไม่สามารถรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ พวกเขา
จะมีการับรู้ทางสติปัญญาว่าตัวเองมีตัวตนเท่านั้น แต่ไม่รู้จักตัวตนของวิญญาณ


ภพภูมิที่อยู่ต่ำลงไปจะเป็นที่อยู่ของเหล่าวิญญาณที่ทุกข์โศกซึ่งมีแต่ความรู้สึกที่รุนแรงและเกรี้ยวกราด แสงของ
พระเจ้านั้นริบหรี่เกินกว่าที่จะเข้าไปสัมผัสกับเหล่าวิญญาณพวกนี้ได้ พวกเราได้ยินวิญญาณหลายคนร้องคร่ำครวญ
อย่างเจ็บปวดทรมานและสิ้นหวังในดินแดนนรกมืดดำ ตัวผมเองรู้สึกทุกข์ใจอะไรเช่นนี้ เมื่อเห็นภาพการแตกสลาย
ของวิญญาณที่น่าโศกสลด


ผมถามโจแอ็บว่า "ทำไมคุณพาผมมาที่นี่หละ" ผมรู้สึกขนพองสยองเกล้า แล้วถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า 
"ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นภาพความหายนะเช่นนี้"

โจแอ็บว่า "ก็เพราะว่าตัวคุณยังเป็นวิญญาณที่อายุน้อยอยู่คุณเองไม่เคยรวมวิญญาณตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับ
พระเจ้า เราได้พาคุณไปยังแสงแห่งพระเจ้า เพื่อให้คุณสัมผัสถึงการมีตัวตนของพระเจ้า และอยู่ในอ้อมอกแห่ง
ความรักของพระเจ้า แสงแห่งพระเจ้าคือบ้านที่พำนักของคุณ เป็นสิ่งที่ตัวคุณเป็นอยู่ แต่นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คุณ
ต้องเรียนรู้ที่จะใช้แสงแห่งพระเจ้าส่องสว่างวิญญาณในขุมนรกมืดดำ และนำพาพวกเขาที่กำลังค้นหาสัจธรรม
อยู่ เมื่อไหร่ก็ตามถ้าคุณต้องการที่จะเพิ่มประกายแสงสว่าง หรืออยากจะรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
คุณสามารถขึ้นไปหาพระเจ้าได้แต่คุณต้องกลับมาทำหน้าที่ของคุณต่อไป นี่คือจุดมุ่งหมายหลักของวิญญาณที่มี
การพัฒนาตนเองแล้ว และสิ่งนี้จะเป็นเป้าหมายต่อไปจนกว่าการรวมวิญญาณกับพระเจ้าจะสำเร็จลุล่วงได้"


ผมกระวีกระวาดถามว่า "ผมจะช่วยได้ยังไงครับ"
"คุณอาจจะเป็นครู แนะนำใครก็ตามที่คุณต้องการ ให้ความหวังแก่วิญญาณที่รู้สึกสิ้นหวังและให้แรงบันดาลใจ
แก่วิญญาณที่กำลังค้นหาไขว่ค้าหนทางอยู่"

ผมถามว่า "ที่นรกนี่นะหรือ"
โจแอ็บตอบว่า "จะเป็นทีนรก หรือที่ไหนก็ได้ตามใจคุณ คุณสามารถที่จะทำหน้าที่ของคุณ ณ ที่ใดก็ได้บนจักรวาล
แห่งนี้เพียงถ้าคุณต้องการ คุณก็อาจจะเป็นทูตวิญญาณให้แก่ดาวดวงใหนก็ได้ที่คุณเคยอาศัยอยู่ หรือคุณเอง
สามารถไปยังที่คุณไม่เคยไปมาก่อนก็ได้ ตัวคุณเองจะเป็นคนตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา"

ผมกล่าวอย่างลังเลว่า "ถ้าผมจะทำละก็ ผมขอเลือกโลกมนุษย์ดีกว่า ผมเคยทุกข์ทรมานบนโลกมนุษย์มาก่อน
และโลกมนุษย์นี่เองที่ทำให้ผมได้ค้นพบตัวเอง"

โจแอ็บตอบว่า "โลกมนุษย์เป็นสถานที่สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส ความเปลี่ยนแปลงในโลกแสนจะรวดเร็ว
และมีอันตรายคุณเองสามารถสร้างความดีได้มากทีเดียว บางทีคุณอาจจะเป็นทูตแห่งความโศกเศร้าก็ได้นะ
เพราะตัวคุณประสบกับความทุกข์ทรมานมามากมาย จากที่คุณเคยเจ็บปวด คุณสามารถให้ความหวัง และการ
ปลอบประโลมแก่มนุษย์ คุณอยากจะทำหน้าที่อันนี้หรือเปล่า"

ผมตอบทันควันว่า "ไม่ ความทุกข์โศกไม่ได้เป็นมิตรที่ดีแก่ผมเลย ผมไม่อยากจะนำความทุกข์โศกไปให้ใครเลย"
โจแอ็บกล่าวอย่างจริงจังว่า "ความทุกข์โศกเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาวิญญาณ คุณไม่อาจเพิกเฉย และปฏิเสธสิ่งนี้ไปได้"
ผมสวนตอบไปว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจทีจะปฏิเสธความทุกข์โศกแต่คุณพูดเองไม่ใช่หรือว่าผมมีอิสระที่จะเลือก"
โจแอ็บกล่าวอย่างสุภาพว่า "ใช่ คุณมีสิทธิ์ ยังมีสิ่งอื่นอีกหรือที่คุณจะทำ งั้นเป็นทูตแห่งแรงบรรดาลใจเป็นไง"
ผมครุ่นคิดแล้วตอบว่า "แรงบันดาลใจ ใช่แล้ว จะเป็นภาพกิจที่วิเศษสุด ผมจะช่วยมนุษย์ชาติโดยเป็นแรงบรรดาล
ใจให้พวกเขาให้ฟื้นตื่นจากความอ่อนแอและอุปสรรคทั้งปวง รวมทั้งชี้นำให้พวกเขาก้าวไปสู่หนทางแห่งพระเจ้า"

โจแอ็บกล่าวว่า "งั้นก็ตกลงตามนี้ จากนี้จงไปปฏิบัติภารกิจบนโลกมนุษย์ จะไม่มีใครบอกคุณว่าใครคนไหน
ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ คุณจะต้องตัดสินใจเอง"

เขาเตือนว่า "แต่ต้องตัดสินใจดีๆ นะ และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อว่ามวลมนุษย์จะได้พัฒนาตนเองไปหาพระเจ้าอย่างรวดเร็ว"

วันเวลาผ่านไปหลายปี นับจากที่ผมเริ่มปฏิบัติหน้าที่บนโลกมนุษย์ ผมเคยบอคุณแล้วเกี่ยวกับเรื่องราวครั้งแรก
ที่ผมได้กลายมาเป็นสื่อแรงบันดาลใจให้แก่นักเต้นบัลเลย์ที่ชื่อ แอนนาพาวโลว่ หลังจากที่ผมได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ
เธอเสร็จสิ้นลงแล้ว ผมก็ได้ทำหน้าที่แก่คนอื่นๆ โดยช่วยให้ความฝันเป็นจริง และช่วยพัฒนาจิตวิญญาณคนเหล่า
นี้จำนวนหนึ่งมีจิตวิญญาณที่สูงส่ง แต่คนอื่นๆยังเป็นมือใหม่ในเรื่องการพัฒนาวิญญาณอยู่ แต่ผมก็ให้ความ
ศรัทธาและความอุตสาหะที่พวกเขาต้องการ เพื่อความสำเร็จของจุดมุ่งหมายของพวกเขา ผมได้ชี้นำวิญญาณที่
ต่ำต้อยที่สุดซึ่งเป็นขอทาน โดยช่วยแก้ปัญญหาให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่เลวร้ายได้ ผมให้กำลังใจสนับสนุน
อยู่เสมอ ทำให้เขาเกิดความมุมานะกลับไปสู่สังคมมนุษย์เดินดินได้ และกลายมาเป็นครูบาอาจารย์อันเป็นที่รัก
เคารพอย่างยิ่ง แต่ที่สำคัญที่สุดชายคนนี้ได้พัฒนาตนเองด้วยทัศนะที่ลึกซึ้งและสัมผัสกับพระผู้เป็นเจ้า ในเหล่า
บรรดาวิญญาณอันสูงส่งนั้นมีวิญญาณของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ที่ผมเคยช่วยเขาคลามปมปัญหาเรื่องความลึกลับ
แห่งพระเจ้า รวมทั้งทนายความของศาสนา ฮินดู มหาตมะ คานธี ที่ผมเคยสอนเขาไว้ว่า พระเจ้าเสมอเหมือน
สัจธรรม และพระองค์ก็ทรงเป็นสัจธรรมอันนี้ คานธีได้เผยแพร่คำสอนแก่มวลมนุษย์ ซึ่งเกิดความศรัทธาและ
การพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์ในเวลาต่อมาคุณธรรมสองสิ่งนี้ง่ายที่จะเป็นแรงบันดาลใจ เพราะว่าทั้งสองคน
นี้เป็นวิญญาณที่มีความศรัธธาและความเมตตาอันสูงส่ง


ผมยังคงอยู่ที่นี่ตั้งแต่เทือกเขาหิมาลัยจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งในละติจูดเหนือและใต้ รวมทั้งลองติจูดตะวันออก
และตะวันตกของโลก วิญญาณอันบริสุทธิ์ของผมยังคงแผ่ไกลเหมือนเสื้อคลุมที่ปกคลุมทั้งความกว้างยาวของ
โลกมนุษย์ ถ้าคุณต้องการผมขอให้เรียกชื่อผม ผมจะอยู่ที่นี่เพื่อชี้นำทางให้คุณ ความสว่างไสวทางปัญญาของผม
จะช่วยจรรโลงวิญญาณของคุณให้สดใสสว่าง ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ตามที่คุณรู้สึกสงสัยเคลือบแคลง และต้องการคำแนะนำ
ขอแต่เพียงอย่าลืมชื่อของผม
 ผมชื่อ เคอร์คูเดียน

ตอนที่ 8 เวอร์ดิกริส

ตอนที่ 8 เวอร์ดิกริส

จันทร์ได้รับความเจ็บปวดและรู้แจ้งเห็นจริงมากที่สุดกว่าทุกชาติ ซึ่งเป็นไปตามที่ทูตวิญญาณได้ทำนายไว้ ผม
รู้สึกถึงจิตวิญญาณที่กระจ่างแจ้ง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในการวิวัฒนาการท่ามกลางซากปรักหักพังของกรุง
กลิงคราช ผมนอนราบโดยหนุนศรีษะไว้ในอ้อมแขนของพระเจ้าอโศก ผมรู้สึกว่าวิญญาณได้เคลื่อนออกจากร่าง
พร้อมๆ กับเลือดที่ไหลท่วมเหมือนแม่น้ำที่ไหลออกจากบาดแผลที่แขนและเวลานั้นเอง ผมก็ได้เห็นภพชาติ
ก่อนๆ ปรากฏต่อสายตา ทำให้รู้แจ้งในการรับรู้ด้วยแสงแห่งพระเจ้าผมจึงจำได้ชัดเจนถึงตอนที่ผมเป็นพระเจ้า
อเล็กซานเดอร์แห่งมาซีโดเนีย และการกระทำชั่วร้ายที่ผมเคยทำลงไป ซึ่งลงโทษให้ผมได้รับกรรมด้วยการมี
ชีวิตที่ลำบากแสนสาหัสในตอนที่เป็นจันทร์ ในช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดรวดร้าวนั้น ผมได้เห็นพระเจ้าอโศกใน
ขณะที่เขายังมีชีวิตในชาติที่แล้วนั้นเป็นพาร์เมนิโอ ซึ่งผมสั่งให้ฆ่าเขาอย่างโหดร้าย ผมได้ลสะชีวิตเพื่อพาร์สิส
น้องชายและผมจำได้ว่าชาติที่แล้วเขาเป็นเพื่อนรักของผมก็คือ ไคลทุส ซึ่งได้ฆ่าเขาตายตอนเมาขาดสติ


เมื่อผมตื่นขึ้นมา ผมจำได้ถึงครั้งแรกที่ผมกลับชาติมาเกิดว่าผมได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายอย่างลุล่วง
แล้ว ผมรู้สึกถึงความสงบสุขและสุขใจ เมื่อผมรู้ว่าผมพัฒนาการคันหาเวอร์ดิกริสได้มากยิ่งขึ้น


วิญญาณของผมยอมแพ้ต่อจักรวาล ด้วยความรู้สึกที่มีความสุขในจิตใจ ผมรู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไปยังสถานที่ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจบอกได้ เมื่อผมฟื้นขึ้นมา ผมรู้สึกตัวว่าอยู่ใน
วงกลมโค้งขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยแสงโชติช่วงของรุ้งหลากสีที่แผ่รังสีไกลออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมเห็น
แสงสองดวงคือโจแอ็บและเจเรไมอยู่ตรงกลาง รังสีที่แผ่ไกลออกไปอย่างไร้ขอบเขต วิญญาณของผมซึมซับ
สัมผัสกับความสุขที่มีกลิ่นหอม


ทูตสองคนพูดพร้อมกันว่า "ความสุขที่น่ายินดี คุณชนะสิ่งนี้แล้ว"

ผมตัวสั่นเทิ้มโดยถามไปว่า ทำไม่ผมไม่ได้อยู่ในประตูวิญญาณพวกเขาตอบว่า ในที่สุดพวกเขาก็ได้ทำหน้าที่ที่มี
ต่อผมได้สำเร็จ โดยไม่จำเป็นต้องหน่วงเหนี่ยวสถานที่พักผ่อนอในอดีต ซึ่งเป็นที่วิญญาณจะมีพลังอยู่เพียง
ชั่วคราว และจะไปรอเกิดใหม่


ผมถามไปว่า "แล้ว ณ เวลานี้จะมีอะไรเกิดขึ้น"
เจเรไมตอบว่า "ขณะนี้คุณมีความอดทนอดกลั้นต่อการทดสอบที่ยากลำบากสาหัสที่สุด คุณจะกลับมาเกิดในโลก
อีกครั้งโดยคุณจะได้พบกับเวอร์ดิกริสในที่สุด"


คำพูดนี้ผมได้รอมานานแสนนานซึ่งทำให้ผมมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
และความกลัวบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความกลัวผมรู้สึกมีความสุขที่จะได้มา
รวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับคนรักของผมและรู้สึกกลัวต่อความหายนะครั้งใหม่ ที่จะทำให้การพบกันช้าออกไปอีก


ผมถามขณะที่ตัวเองดีใจจนเนื้อเต้นว่า "เวอร์ดิกริส ผมกำลังจะอยู่กับคุณอีกครั้งหนึ่งแล้วหรือนี่"
คำตอบของเจเรไม่ยิ่งทำให้ผมเกิดความกลัว
เขากล่าวอย่างน่าตกใจว่า
 "การรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวผมไม่ได้พูดถึงการรวมวิญญาณสักหน่อย แค่พูดถึงการพบกันเท่านั้น"
คำพูดนี้ทำให้ผมตกตะลึง แต่ไม่ได้ทำให้คลายกังวลลงไปเลย
ผมเลยถามขึ้นว่า
 "แล้วต่างกันอย่างไรหรือ การรวมวิญญาณไม่ใช่ผลที่ตามมาของการพบกันของเราหรือครับท่าน

เจเรไมตอบว่า "เปล่าเลย ยังไม่ถึงเวลา คุณจะแค่เจอกับเวอร์ดิกริส แต่ยังไม่ได้รวมวิญญาณกัน การรวมวิญญาณ
กับเวอร์ดิกริสอาจจะแยกคุณจากกันชั่วนิรันดร์ แต่การแยกจากกันจะทำให้คุณกลับมารวมวิญญาณของคุณทั้ง
สองคนไปชั่วกัลปาวสานซึ่งก็คือสิ่งที่ได้ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงบนโลก ดังที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น
การนิพพาน สิ่งนี้จะเป็นการเกิดครั้งสุดท้ายขณะนี้ทั้งคุณและเวอร์ดิกริสยังเป็นร่างเดี่ยวกัน ยังขาดการรวม
วิญญาณอยู่ และวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถกลับไปได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ มากที่คุณจะต้องไม่พลาดการ
ทดสอบครั้งนี้ จงจำสิ่งนี้ไว้เสมอ คุณจะต้องเผชิญกับความรับผิดชอบครั้งสำคัญ ถ้าคุณชนะในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
นี้ คุณก็จะพบความสุขอันเป็นนิรันดร์แต่ถ้าคุณเพลี่ยงพล้ำพลาดไป คุณก็จะต้องเริ่มวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่
อีกครั้งตั้งแต่ต้นใหม่"


ผมร้องถามไปโดยมีความรู้สึกกลัวแบบเก่าๆ เกิดขึ้นกับตัวผมอีกครั้งว่า

"ผมไม่เข้าใจ การพลัดพรากจากกันจะนำไปสู่ความเป็นหนึ่งและความเป็นหนึ่งดียวจะทำให้เกิดการพลัดพราก
ได้อย่างไรกัน ผมไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้เลย"


แสงกว่างที่ส่องประกายหมุนรอบทูตวิญญาณได้ริบหรี่ลงทันไดนั้นเปลวรัศมีได้ส่องสว่างรวมกันเป็นสายรู้งหลาก
สี ที่รวมตัวกันเป็นรูปวงกลมอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ ทูตวิญญาณทั้ง 2 คนได้หายวับไปในแสงหลากสีที่โชติช่วง


โจแอ็บตอบเบาๆว่า "อย่ากลัวไปเลย คุณพูดถึงเรื่องเหตุผลอันเป็นความรู้ที่คุณได้มาจากบนโลก ตอนที่คุณเป็น
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์โดยอริสโตเติ้ลเป็นผู้สอนคุณ แต่ความเป็นเหตุเป็นผลนี้ไม่ได้มีอยู่บนโลกมนุษย์หรอก มี
เพียงสิ่งเดียวที่เป็นสัจธรรมแห่งวิญญาณ และสัจธรรมที่ว่านี้ก็คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าที่สร้างคุณมาและต่อ
จากนั้นกลายเป็นที่มาของมวลมนุษย์ คุณต้องชำระบาปจากการสัมผัสสิ่งเหล่านี้ ถ้าคุณสามารถทำสิ่งนี้ได้หลัง
จากการเกิดในชาตินี้ คุณก็จะพบกับความสุขที่สุดโดยเป็นความสุขที่หาได้ยาก ส่วนใหญ่แล้ววิญญาณต้องกลับ
มาเกิดหลายครั้ง ก่อนที่จะเป็นอิสระจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ไปเพื่อทำให้คุณได้รับรู้ประสบการณ์อย่างสมบูรณ์
จึงต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ชายกับหญิง สิ่งนี้คือร่างที่แท้จริง คุณและเวอร์ดิกริสได้ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนจากวิญญาณ
เดียวกัน และคุณทั้ง 2 ก็ถึงเวลาที่จะทำให้วัฏจักรการชำระบาปเสร็จสิ้นแล้ว และกลับไปสู่แสงสว่างแห่งพระเจ้า
แต่พวกคุณต้องยอมรับขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่การชำระบาปจะเสร็จสิ้น พวกคุณต้องเอาชนะสิ่งนี้ด้วยกัน คุณ
สามารถเอาชนะสิ่งนี้ในขณะที่แยกจากกันนี่คือการทดสอบครั้งสุดท้าย"


เจเรไมแทรกขึ้นมาว่า "คุณคงรู้สึกกลัว เมื่อคุณเห็นร่างของเรารวมก้นเป็นแสงสีสายรุ่ง สายรุ้งหมายถึงลำดับ
ของแสง ซึ่งก็คือการหักเหที่ทำให้เกิดสีต่างๆหลายเฉด ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบนโลกโดยเกิดจากการแบ่งสีสัน
จากความเป็นหนึ่งเดียวของแสงแห่งพระเจ้าสิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจึงมีสีปรากฏบนโลกมนุษย์ แสงจาก
พระเจ้าถูกแบ่งออกไป หน้าที่ของคุณในชาติสุดท้ายนี้จะถูกรวมเป็หนึ่งเดียวกับความรู้แจ้ง และจะทำให้เผ่าพันธุ์
มนุษย์มีจิตใจที่สูงส่งขึ้นแต่การที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้นั้น คุณต้องอยู่ห่างจากโลกและเวอร์ดิกริส การรวมวิญญาณ
กับเวอร์ดิกริสในตอนนี้จะก่อให้เกิดการหักเหของแสงในตัวคุณ และจะทำให้พลัดพลัดพรากจากกันของพวกคุณ
ยาวนานยิ่งขึ้น"


ผมถามว่า "ตัวผมอันน้อยนิดนี้ จะนำแสงแห่งพระเจ้าไปสู่มนุษย์ชาติได้อย่างไร"

เจเรไมตอบไปว่า "จงจำคำสอนของพระพุทธเจ้าที่คุณได้เรียนรู้ตอนเป็นจันทร์อยู่"
"จริงด้วยครับ"

โจแอ็บพูดว่า "พระพุทธเจ้าทรงเป็นวิญญาณสูงส่งที่ได้ปฏิบัติธรรมหรือก่อให้เกิดการรวมตัวเป็นหนึ่งครั้งสุด
ท้ายของวิญญาณ ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง หน้าที่ของพระองค์บนโลกมนุษย์ก็คือ การเผยแผ่หลักธรรม เรื่อง
ความรัก การผูกพันฉันท์มิตร ความเมตากรุณาและความโอบอ้อมอารีแก่เพื่อนมนุษย์ คำสอนที่เป็นสากลนี้ไม่
ได้นำมาเผยแผ่เฉพาะบนโลกเท่านั้น แต่นำมาสู่ดวงดาวทุกดวงของกาแล็กซี่ทั้งหมดในจักวาล โดยมาจาก
วิญญาณที่เข้าถึงการตรัสรู้แล้ว วิญญาณดวงที่มีความโชติช่วงและบริสุทธิ์ที่สุดที่นำคำสอนเรื่องความเป็นเอกภาพ
และการรู้แจ้งมาสู่โลกโดยการสละชีพตนเองด้วยความตายที่โศกสลดและอดสู คำสอนมีพลังจนสามารถพิสูจน์
กาลเวลาและทุกสรรพสิ่ง โดยยังคงทำให้มนุษย์ได้รับภูมิปัญญาที่รู้แจ้ง เพื่อให้คำสอนยังคงมีอยู่ต่อไป จึงเป็น
สิ่งจำเป็นที่วิญญาณอื่นๆ จะอยู่บนโลกชั่วคราวเพื่อให้วิญญาณอันสูงส่ง รวมทั้งการส่งสอนเรื่องความรักและการเสียสละ"


ผมถามว่า "นี่คือภาระหน้าที่สุดท้ายของผมบนโลกแล้วใช่ใหม"
โจแอ็บตอบว่า "ก็เพียงแต่คุณต้องการให้เป็นไปเช่นนั้น เราสองคนเคยบอกคุณหลายหนแล้วว่า วิญญาณต้อง
ยอมรับภาระหน้าที่ด้วยความเต็มใจ เจตจำนงเสรีในกฎแห่งจักรวาลที่สำคัญกฎหนึ่ง"


ผมตอบว่า "ผมยอมรับภาระหน้าที่นี้ แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะสามารถต้านทานอำนาจกิเลสตัณหาได้อีกหรือเปล่า
มิฉะนั้นยิ่งจะทำให้การรวมวิญญาณกับเวอร์ดิกริสช้าลงไปอีก"


เจเรไม่ตอบว่า "นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ เราเข้าใจอำนาจของกิเลสตัณหา แต่อย่าประเมินพลังวิญญาณ
และความรักที่มีต่อเวอร์ดิกริสต่ำเกินไป คุณมีความแข็งแกร่งในตัวคุณอยู่แล้ว"


ผมถามด้วยความอยากรู้ว่า "ใครคือวิญญาณสูงสุดที่ผมต้องรับฟังคำสั่งสอนเข้าไว้"

เจเรไมตอบว่า "พระองค์ก็คือพระเยซู"

เพียงชั่วครู่เดียวที่ผมได้รับคำสั่งสอนเหล่านี้ ผมก็รู้ว่าตัวเองได้อยู่บนโลกอีกครั้งหนึ่ง ควาวนี้ไม่มีเสียงของโจแอ็บ
และเจเรไม่มาตามให้คำแนะนำผมอีก ในขณะที่ผมเป็นเด็กทารก และผมก็เติบโตเป็นเด็กธรรมดา โดยลืมคำสอน
ที่ทูตบอกไปจนหมดสิ้น หรือแม้แต่ภาระหน้าที่ที่ผมต้องทำให้ลุล่วงตรงกันข้ามกับชาติก่อน คราวนี้ผมเกิดบนโลก
ที่เพียบพร้อมด้วยทรัพย์ศฤงคาร ผมเกิดในครอบครัวพ่อค้าขายผ้าใหมที่ร่ำรวยในประเทศอิตาลี จากวัยเด็กที่
เติบโตมาจากวัยทารกซึ่งแวดล้อมทุกสิ่งที่ต้องการ ผมเป็นคนใจดีและร่าเริง ผมมีเพื่อนๆ หลายคนคิยติดตามเป็น
สหายไปเที่ยวซุกซนตามประสาเด็ก


แม้ว่าพ่อแม่ผมจะร่ำรวย แต่ผมไม่เคยได้รับการยอมรับจากบุคคลชั้นสูง เพราะฐานะของเราเป็นแค่เพียงพ่อค้า
ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ความต้องการที่จะมีเกียรติในสนามรบนั้นได้ครอบงำจิตใจของผม มันเป็นเหมือนภาพสะท้าน
จางๆ จากที่ผมเป็นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ยังหลอนหลอกในความรู้สึก ความทะยานอยากผลักดันตัวผมให้เข้า
ร่อมกับกองทัพเพื่อป้องกันประเทศชาติต่อการรุกรานของขุนนางจากประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนั้นอยู่ในช่วง
ยุคกลาง และเรื่องการทำสงครามกับเมืองใกล้เคียงต่างๆถือเป็นเรื่องปรกติในชีวิต


การสู้รบครั้งแรกของผมก็ต้องเจอกับความวิบัติเสียแล้วเมืองผมพ่ายแพ้ต่อผู้บุกรุก และผมก็ถูกจับเป็นนักโทษ
เชลยอยู่หลายปีเมื่อถูกปล่อยตัว ผมตัดสินใจเข้าร่วมรบในสงครามอีกครั้งหนึ่ง การรบครั้งนี้เป็นการปกป้อง
พระสันตะปาปาจากศัตรูของพระองค์ และในคืนวันก่อนที่ผมออกรบ ผมได้ฝันแปลกๆ ว่ามีเสียงกระซิบบอกให้
ผมกลับไปบ้านเกิดของผมเสีย


ผมรู้สึกสนใจต่อการฝันครั้งนี้ ผมจึงกลับมาที่บ้าน 2 - 3 วันต่อมา ขณะที่ผมเดินตามถนนอยู่นั้น ผมก็เดินมาถึง
โบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีซากปรักหักพังเสียครึ่งหนึ่ง ผมเดินเข้าไปในโบสถ์ที่มีดอกกุกลาบปกคลุมรกไปหมด
ในความมืดสลัวผมเห็นไม้กางเขนเก่าๆ ตรึงอยู่บนกำแพงด้านหนึ่ง ไม่กางเขนทำให้ผมสนใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าในความจริงไม้กางเขนไม่ได้มีอะไรแปลกพิสดารอะไรเลย เมื่อผมเข้าไปดูใกล้ๆ ตาของพระเยซูที่ไม้
กางเขนก็ได้จ้องมองลึกเข้าไปภายในจิตใจของผม และผมก็ได้ยินเสียงที่ผมรู้ว่าเป็นเสียงของพระเยซูโดยพูดซ้ำๆ
ว่า 
"บ้านของฉันกำลังพังช่วยซ่อมแซมด้วย"

ผมรู้สึกสั่นเทิ้มเหมือนใบไม้ ผมวิ่งออกจากโบสถ์โดยไม่หยุดจนถึงบ้าน คืนนั้นผมเห็นภาพไม้กางเขนในความฝัน
และได้ยินคำพูดเหมือนเดิม ซึ่งผมรู้ว่าเป็นเสียงของพระเยซูว่า 
"บ้านของฉันกำลังพัง ช่วยซ่อมแซมด้วย"

ผมสวดมนต์ว่า "พระเยซูศาสดาของข้าพเจ้า" ถ้าภาพที่ข้าพเจ้าเห็นไม่ได้เกิดจากการสร้างจินตนาการ ขอให้
ข้าพเจ้าได้ล่วงรู้ด้วยเถอะว่า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะรับใช้พระองค์ด้วยความจริงใจถ้าพระองค์ปรารถนาเช่นนั้น"


ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงพระเยซูพูดอีกครั้งหนึ่งเพื่อเร่งเร้าให้ผมบูรณะโบสถ์ ผมมั่นใจว่าข้อความจากใจผม
ผมได้อุทิศเวลาตัวผมเองเพื่อบูรณะโบสถ์ เนื่องจากผมไม่มีเงินพอ ผมเลยเอาผ้าทอลายดอกสีแดงราคาแดงจาก
โรงงานทอผ้านำไปขายในเมืองใกล้ๆ ผมนำเหรียญทองคำถุงหนึ่งมาที่โบสถ์ แล้วนำไปให้เจ้าคณะที่อาศัยอยู่ที่
นั่น แต่พระผู้นี้รู้ว่าผมเป็นบุตรหลานพ่อค้าที่รวยที่สุดคนหนึ่งในเมืองนี้ ท่านจึงปฏิเสธที่จะรับเงิน


ท่านกล่าวว่า ทองคำนี้เป็นของพ่อเจ้า ไม่ได้เป็นเงินของเจ้า เงินจำนวนนี้ไม่สามานำมาใช้บูรณะที่พพำนักของพระเจ้าได้

ผมก้มลงหน้าพูดอย่างละอายว่า "ท่านพูดถูกแล้วครับหลวงพ่อผมไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ผมจะหาหนทางอื่น
เพื่อบูรณะโบสถ์โดยไม่ต้องใช้เงินจากพ่อ"


ผมโยนกระเป๋าสตางค์ไปที่มุมโบสถ์แล้วอาศัยอยู่ในโบสถ์นับตั้งแต่นั้นมา ต่อมาพ่อก็รู้สิ่งที่ผมทำ และลากผม
ออกมาต่อหน้าคณะบาทหลวงและทวงเงินคืน พระเจ้าคณะของเมืองได้รู้สาเหตุที่ผมขายผ้าไปและขอร้องให้ผม
คืนเงินให้แก่พ่อไป ผมรู้สึกสงบโดยไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย ผมได้ยืนขึ้นและหันหน้าไปที่พระเจ้าคณะ


ผมตอบว่า "ถูกแล้วครับท่าน เงินที่ได้จากขายผ้าเป็นเงินของบิดามารดากระผม และพ่อเองก็มีสิทธิที่จะทวงคืน
ไม่ใช่แค่เพียงเงินเท่านั้นที่เป็นของพ่อ แต่รวมถึงเสื้อผ้าที่ผมสวมใส่ด้วยผมเองอยากจะคืนพ่อไปด้วย เพราะว่า
จากวันนี้ไปผมจะนับถือพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระบิดาของผม"


เมื่อผมพูดเสร็จก็ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกจนเหลือแต่กายเปลีอยเปล่าต่อหน้าพ่อและทางคณะบาทหลวง ผมวางเสื้อ
ผ้าและถุงใส่เหรียญไว้ที่เท้าของพ่อ พ่อมีใบหน้าแดงก่ำสั่นเทิ้มด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด ในขณะที่เจ้าขณะบาทหลวง
ได้ห่มชุดคลุมปกปิดร่ายเปล่าเปลือยของผมนั้น


เมื่อผมออกจากเหล่าคณะสงฆ์ คนสวนคนหนึ่งได้ให้ผ้าป่านผืนหนึ่ง ซึ่งผมก็ได้นำไปทำชุดคลุมชั่วคราว โดยทำ
เครื่องหมายเป็นรูปไม้กางเขนเพื่อแสดงการอุทิศตนของผมแก่พระเยซู จากนั้นผมก็ผูกเชือกรอบเอวและใส่
รองเท้าแตะรวมทั้งผ้าคลุมแต่งกายทั้งหมดของผมเมื่อผมนึกถึงความทุกย์ยากของพระเยซู และคำสอนต่อสาวก
สานุศิษย์ที่ออกไปช่วยบริจาคทานแก่ผู้อื่นนั้น ผมได้ยึดถือความยากจนเป็นเสมือนเจ้าสาวที่สวยที่สุด

ผมไม่เคยลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพระเยซูว่าจะบูรณะโบสถ์ผมเริ่มขอรับบริจาคหิน อิฐ และซีเมนต์ เพื่อทำการ
บูรณะเสร็จสิ้น การอุทิศตนทั้งหมดต่อการบูรณะนี้ทำให้ผู้มีจิตศรัทธาที่สนใจได้อุทิศตนเองเพื่อพระเจ้า และใน
ไม่ช้าเราก็เริ่มก่อตั้งคณะมิชชันนารีซึ่งได้อุทิศตนเพื่อความสงบสุขและไม่ตรีจิต จากความร่วมแรงร่วมใจแข็งขัน
ทำงานทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดเราก็ได้สร้างโบสถ์เล็กๆขึ้นมาใหม่ ซึ่งรู้จักกันในปัจจุบันว่า เชิร์ช ออฟ เซนด์ดาเมียน


ช่างเป็นวันที่มีความสุขสำหรับผมที่ได้มอบความรักแก่พระคริสต์และความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้น
กลุ่มคณะมิชชันนารีของเราก็สร้างโบสถ์อื่นๆ ขึ้นมาใหม่ และเริ่มเรียกตนเองว่า บาทหลวงน้อย (Friars Minor)
เพื่อบ่งบอกความสมถะของเราแม้ว่าผมจะเทิดทูนพระเยซูและโบสถ์เป็นอย่างมาก แต่ผมไม่ได้บวชเป็นนักบวช
และเมื่อเดินทางไปโรมกับคณะมิชชันนารี ในปีต่อๆมาเพื่อแสวงหาความรู้จักกับพระสันตะปาปา ผมรู้สึกประหลาด
ใจที่พระองค์ท่านทรงรู้จักพวกเรา


ในที่สุด เมื่อผมกลับมาที่บ้านเกิดเมือง อาซัสซี เจ้าคณะขอร้องให้ผมเทศนา ณ โบสถ์ประจำเมือง ในค่ำวันนั้น
หลังจากที่ผมเทศนาอย่างศรัทธาเกี่ยวกับคุณความของความยากจนและความรักต่อพระเยซู มิชชันนารีร่วมคณะ
คนหนึ่งบอกผมว่า มีลูกสาวขุนนางที่มีอำนาจคนหนึ่งของเมืองต้องการคุยกับผม ผมตกลงที่จะเจอกับเธอเพราะ
ไม่มีสิ่งไดที่จะทำให้ผมพอใจมากไปกว่าได้เผยแผ่คำสอนของระเยซูแก่คนรวย คนมีอำนาจ พร้อมช่วยให้เขา
ตระหนักถึงความไร้ค่าของความร่ำรวยทางโลกียสุข ครู่หนึ่งมิชชันนารีคนนี้ได้กลับมาพร้อมกับสาวงามคนหนึ่ง
อายุไม่เกิน 18 ปี แต่งกายด้วยชุดที่หรูหราตามฐานะ ผมลุกขึ้นต้อนรับและยื่นมือเชื้อเชิญโดยเธอเองได้ยื่นมา
ข้างหน้าผม แต่ไม่ได้จับมือเธอมีแสงเรืองรองออกมาจากตัวเราทั้งสองคน และในทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงสะท้อน
รอบๆ ตัวผมคล้ายเปลวไฟวน


มีเสียงดังขึ้นว่า "เวอร์ดิกริส เวอร์ดิกริส"
ผมยืนต่อหน้าเธอเหมือนรูปปั้นหินอ่อนที่แข็งทื่อเป็นน้ำแข็ง มือของผมยื่นออกไปห่างจากมือเธอไม่กี่นิ้ว
มิชชันนารีคนนี้ก็กระซิบข้างหูผมว่า "บาทหลวงฟรานซิส นี่ คือเลดี้แคลร์ ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง"