วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 2 บทเรียนเริ่มต้น



ตอนที่ 2 บทเรียนเริ่มต้น


  • มีระบบดาวเคราะห์ที่มีดวงอาทิตย์ 3 ดวง เรียกว่า Ixistar อยู่เหนือกลุ่มดาวลูกไก่ระบบนี้มีดาวเคราะห์ 14 ดวง แต่ละดวงจะเคลื่อนที่รอบวงโคจร 3 วง ของรอบดวงอาทิตย์ 3 ดวง นับเป็นภาพที่น่าตกตะลึงเมื่อได้มองเห็นจากจุดศูนย์กลางของรบบสุริยะ Ixistar
  • ดาวเคราะห์แต่ละดวงหมุนครบรอบวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ และเมื่อถึงจุดสูงสุดซึ่งเป็นจุดที่ไกลที่สุดจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราห์ก็จะหยุดผละออกมาจากวงโคจรนี้ และเริ่มโคจรรอบดวงอาทิตย์ดวงใหม่ เมื่อถึงจุดสิ้นสุดต่อไปก็จะหยุดผละออกไปยังดวงอาทิตย์ที่ 3 ก่อนที่จะกลับมาโคจรเหมือนเดิม ดวงอาทิตย์ทั้ง 3 ดวง มีระยะห่างไกลเท่ากัน เป็นรูป 3 เหลี่ยมอยู่บนท้องฟ้าดาวเคราะห์จะหมุนรอบดวงอาทิตย์ในแต่ละจุด ไม่มีดาวเคราะห์ดวงไดที่จะเคลื่อนที่บนวงโคจรเดียวกันเลย และโคจรสวนกันจากดวงอาทิตย์หนึ่งไปยังอีกดวงหนึ่ง และจากวงโคจรหนึ่งไปยังอีกวงหนึ่ง Ixistar เป็นระบบสุริยจักรวาลที่สามารถมองเห็นได้ชัดมากที่สุดในกาแล็กซี่


  • ดาวเคราะห์ดวงแรกที่เดินทางรอบดวงอาทิตย์ 3 ดวง ดวงแรก มีชื่อว่า เฟอร์ซาห์ Firzanhเป็นดาวดวงเล็กและสวยงามมาก พื้นผิวดาวประกอบด้วยทองแดงที่สลับกันกับร่องที่กว้างใหญ่ของะลูมิเนียม ดาวดวงนี้เต็มไปด้วยสินแร่ และจากรอยแตกที่มีแสงสว่างเรืองๆ เราสามารถพบมรกตและเพชรฝังอยู่เนื่องจากดาวดวงนี้อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ 3 ดวงบรรยากาศจึงร้อนมากเกินกว่าพืชและสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้ สิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้มีรูปร่างส่วนใหญ่เป็นก๊าซหรือแร่ธาตุ เพอร์ซ่าร์เป็นดาวดวงแรกที่วิญญาณของผมมีประสบการณ์ครั้งแรกบนโลกมนุษย์


  • วิญญาณใหม่ทั้งหมดเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ พวกวิญญาณมาที่โลกมนุษย์โดยไม่รู้ว่าชีวิตและการใช้ชีวิตนั้นจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของวิญญาณก็คือ เรียนรู้เรื่องราวจากโลกมนุษย์ที่ปรากฏเป็นสสารและอยู่เพื่อชำระบาป มีวิญญาณเพียงเล็กน้อยที่จะสามารถทำหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงได้ในการกลับชาติมาเกิดในครั้งแรก โลกมนุษย์มีมวลหนาแน่น และมีพลังงานสั่นสะเทือนที่รุนแรง วิญญาณที่มาเกิดส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากสสารและทำให้เกิดการขาดการติดต่อจากดินแดนแถบสวรรค์ซึ่งเป็นที่วิญญาณได้อาศัยอยู่ที่นี่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะวิญญาณทั้งหมดต้องใช้ชีวิตมนุษย์ ซึ่งถูกตัดขาดจากโลกวิญญาณ ทำให้วิญญาณเกิดใหม่ลืมภาระหน้าที่และต้นกำเหนิดที่แท้จริง


  • เมื่อสิ้นสุดการเป็นมนุษย์ในแต่ละชาติ วิญญาณจะได้บทเรียนใหม่ๆ ถ้าวิญญาณทำให้ตนเองมีพลังอำนาจมากเกินไปจากโลกมนุษย์ผลที่ตามมาก็คือวิญญาณได้ฝ่าฝีนกฎแห่งจักรวาล วิญญาณก็ต้องเจอบทเรียนเดิมๆ จนกว่าจะไม่มีการฝ่าฝืนกฎแห่งจักรวาล


  • บทเรียนแรกที่ผมต้องรับรู้คือความเจ็บปวด วิญญาณจะมีภูมิคุ้มกันต่อความเจ็บปวด เพราะวิญญาณมีความสมบูรณ์ในตัวเองความเจ็บปวดเป็นความรู้สึกที่บกพร่องในโลกมนุษย์ วิญญาณรู้จักความเจ็บปวด แต่ร่างกายไม่รู้จักความรู้สึกเช่นนี้ ยังเป็นสิ่งที่น่าสงสัยข้อเท็จจริงนี้ แต่พลังแห่งสสารและหลักฐานแสดงความรู้สึกที่เด่นชัดใด้นำให้สิ่งนี้รู้สึกสับสน ร่างกายของคนเราเชื่อว่าสิ่งที่เราได้เห็นได้รับรู้เท่านั้นคือสิ่งที่เป็นจริง ดังนั้นคนเราจึงต้องเจ็บปวดไม่ว่าจะในเรื่องทางจิตใจหรือร่ายกาย


  • ผมสัมผัสกับความเจ็บปวดตั้งแต่เริ่มการเป็นมนุษย์ ในชาติแรกผมได้เกิดมาบนดาวเฟอร์ซาห์ ผมมีร่างกายที่บางละเอียดเป็นก็าซร่างกายของผมนั้นหากจะเรียกตามที่ได้บอกไปแล้วนั้น จะประกอบด้วยก็าซไฮโดรเจน ฟอสฟอรัสและนีออน รูปร่างของผมเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทำให้ผมมีรูปร่างเป็นเมฆเรืองแสงสีทอง มีริ้วลายสีเงินตรงกลาง วิญญาณอื่นๆ ก็มีรูปลักษณ์ส่วนประกอบเหมือนผม แต่มีความแตกต่างอย่างไม่จำกัด ยิ่งวิญญาณตนไดมีความเฉลียวฉลาดซับซ้อนมากเท่าไหร่ สีต่างๆ บนกายก็จะเพิ่มมากขึ้น ดวงอาทิตย์ทั้ง 3 ดวง จะส่งประกายรังศีเหมือนสีรุ้งที่มีสีสัน


  • ไม่มีสิ่งได้กำเหนิดในดาวเฟอร์ซาห์ ชีวิตเกิดขึ้นมาเองโดยทันทีจากการับรู้และความเข้าใจ เพื่อพร้อมที่จะเข้าร่วมอยู่ในสังคมที่ตนเองสังกัดอยู่ วิญญาณของผมห่อหุ้มด้วยก็าซ 3 กลุ่ม ส่วนจิตของผมอยู่ภายในนิเคลียส


  • ความรู้สึกแรกคือความเจ็บปวด เพราะไม่รู้ว่าผมเป็นใคร อยู่ที่ใหน ผมเลยไปหาสิ่งที่มีชีวิตเหมือนผมที่จะสามารอธิบายความเปลี่ยนแปลง ที่ผมกำลังเป็นอยู่ การสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ กับตัวเราเองการทำเป็นรูปธรรม แต่ไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอก อะตอมของวิญญาณตนหนึ่งไม่ได้ตอบรับกับตัวผม แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้รับข้อความที่สมบูรณ์และเร็วทันใจ


  • ความรู้สึกอย่างที่สองก็คือ ความเจ็บปวดทางกายที่แสนทุกข์ทรมานที่รุนแรงและอึดอัดไปหมด ร่างกายของผมต้องเจ็บปวดแสนสาหัสที่แทรกด้วยอาการกำเริบอย่างรุนแรง ครั้งหนึ่งผมรู้สึกว่าผมได้เห็นเพื่อนคนหนึ่ง ร่างกายอันบางเบาของเขาบอกกับผมว่า ความเจ็บปวดนี้เกิดจากความดันของก็าซภายในนิวเคลียสของตัวผมเอง ในที่สุดผมจะเรียนรู้ที่จะทำตัวให้กลมกลืนความเจ็บปวด แต่เขาเข้าใจผิดตลอด 300 ปี ที่ผมมีร่างกายเป็นไอก็าซ ผมรู้สึกว่าความเจ็บปวดไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย และไม่เคยจะทำตัวให้ความกลมกลืนกับความเจ็บปวดนี้ได้เลย ไม่มีสิ่งไดที่สามารถบรรเทาปลอบโยนได้เลยไม่ว่าจะเป็นเพื่อนวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานเหมือนกัน เวอร์ดิกริส เป็นเพียงผู้ปลอบโยนบรรเท่าทุกข์เท่านั้นบนดาวเฟอร์ซาห์


  • ภารกิจของผมบนดาวเฟอร์ซาห์นั้นเริ่มขึ้นทันทีที่ผมได้รับรู้ว่ามีตัวตนขึ้นมา ภาพกิจอันนี้ก็คือ การทำให้ร่างกายครั้งที่ 2 บนดาวดวงนี้ดำเนินกิจกาารต่อไป ซึ่งร่างกายเป็นของแข็งเกิดจากก้อนหินโลหะ และสารอื่นๆ มีมีลักษณะคล้ายคลึงกับร่างกายแบบนี้จะทำปฏิกิริยากับบุคคลอื่นๆ เช่นกันสามารถเคลื่อนใหว สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ และสามารถขยายตัวและเติบโตได้ รูปร่างแบบนี้สามารถเคลื่อนใหวข้ามหน้าผาของดาวเคราะห์ด้วยความเร็ว ขนาดทำให้หัวหมุนได้ แม้ว่าวิญญาณพวกนี้จะอยู่ในรูปของแข็ง แต่ก็มีแสงสว่างอย่างไม่น่าเชื่อ แร่ธาตุที่มีชีวิตจนบนดาวเฟอร์ซาห์นั้นดูสวยงดงามประณีต แต่มีความฉลาดน้อยกว่ามนุษย์เรา ถึงแม้มนุษย์จะมีสติปัญญาเหนือกว่าแต่ก็ต้องพึ่งพาร่างกาย เนื่องจาการเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องได้สร้างก็าซทีช่วยในการดำรงชีวิตได้


  • หลายครั้งหลายคลาที่ผมถามตัวเองว่าทำไม่เผ่าพันธุ์ของผมต้องการมีชีวิตด้วย ถ้าต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดที่ทำให้หมดแรงอ่อนเพลีย แล้วคำภามนี้ก็มีคำตอบไว้แล้วเช่นกันก็คือว่า ความเจ็บปวดเป็นการแสดงถึงความรู้สึกทางกาย อันที่จริงแล้วสิ่งนี้ไม่ได้ปรากฎอีกครั้งที่วิญญาณของผมเองซึ่งถูกกระตุ้นที่จะเอาชนะความทุกข์โศก ไม่ยินดียินร้ายต่อความเจ็บปวดและหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้ แต่ผมไม่เคยทำได้เลย วิญญาณของผมยังอ่อนหัดเกินไปและต้องเรียนรู้การควบคุมปฏิกิริยาทางร่างกาย


  • หน้าที่ของผมบนดาวเฟอร์ซาห์ก็เหมือนกับวิญญาณอื่นๆที่ต้องเดินทางข้ามดาวดวงนี้ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเป็นแร่ธาตุเคลื่อนไหว เติบโตสืบพันธุ์ สิ่งเหล่านี้เกิดจากแรงดันบนพื้นผิวดาวเคราะห์ที่วิญญาณอาศัยอยู่


  • ทางตอนเหนือของดาวเฟอร์ซาห์ พื้นผิวดาวจะเป็นก้อนหินที่สวยงามมีสีสินในรูปแบบที่ประณีต การมองเห็นสิ่งสวยงามทำให้ผมสับสน เพราะเผ่าพันธุ์ของเราไม่รู้จักที่จะแสดงความรู้สึกชื่นชมหรือเข้าใจต่อความต้องการได้ แม้ว่าจะมีสิ่งสวยงาม แต่บางสิ่งในตัวผมรู้สึกผิดหวังที่จะได้รับการดึงดูดจากสถานที่แห่งนี้ และผมก็อยากจะสัมผัสสิ่งเหล่านี้ทางร่างกายเสียจริง


  • ผมกลับมาที่สวยงามแห่งนี้อยู่บ่อยๆ ซึ่งที่นี่ก้อนหินจะเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ก้อนที่เปลี่ยนไปจะสวยกว่าอันเดิม เมื่อมีโอกาสผมจะลงมาที่พื้นผิวแห่งนี้อย่างรวดเร็ว แต่จนถึงบัดนี้ผมได้แต่สังเกตจากเบื้องบนเท่านั้น ร่างที่เป็นก็าซของผมสามารถแผ่ออกไปคล้ายกับเมฆสีทองเหนือก้อนหินที่สวยที่สุดเหล่านี้ได้ และผมได้สัมผัสก้อนหินอย่างอ่อนโยน ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นโดยทันที และไม่อาจจะบรรยายให้ใครฟังได้ ร่างกายของผมสั่นกระตุกและผมรู้สึกเหมือนจะสูญเสียการรับรู้ชั่วคราวไปผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน ความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นเป็นประจำซึ่งผมเคยมีก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้วผมก็ดีดตัวออกจากก้อนหินด้วยความกลัว แล้วความเจ็บปวดก็กลับมาอีกพร้อมกับความโกรธของตนเอง มันราวกับว่าการที่ความเจ็บปวดหายไป ทำให้เกิดการกระตุ้นที่เจ็บปวดครั้งใหม่


  • ก้อนหินที่ผมสัมผัสได้แกว่งขยับโอนเอนและสีที่สว่างได้ส่องแสงอย่างเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น สีสันที่ส่องกระพริบเป็นจังหวะเปล่งสีเป็นกลุ่มควันสีเขียวและสีเงิน ที่ลอยอย่างช้า มาที่ผม สิ่งนี้เป็นร่างกายใหม่ของสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากตัวผม โดยเกิดจากการสัมผัสแค่ชั่วคราวกับก้อนหิน และนี่ก็คือวิธีที่เวอร์ดิกริสได้เข้ามาพัวพันในชีวิตผม


  • นับตั้งแต่นั้นมา ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก ตลอดที่ผมเกิดบนดาวเฟอร์ซาห์ ผมได้ติดต่อกับสมาชิกเผ่าพันธุ์เดียวกันที่สื่อโดยโทรจิต ในการติดต่อนั้น ผมไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเลย การติดต่อที่กระทำกันมาจากความรู้สึกทางปัญญาซึ่งจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมด้วย แต่เวอร์ดิกริสเกิดจากการรับรู้ของผม ผมได้รู้ซึ้งถึงความหมายในชีวิตจากเธอ เพราะผมได้แบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างกับเธอทั้งชีวิตและวิญญาณ


  • เมื่อผมเห็นเธอในครั้งแรก ผมรู้สึกอยากติดต่อกับเธอขึ้นมาในทันที และการสัมผัสของเธอได้ซึมซับความปลื้มปีติในวิญญาณของผม เวอร์ดิกริส ทำให้เพื่อนพวกเดียวกันกับฉันเจ็บปวด การติดต่อกับเธอนั้้นแสนอ่อนหวานและอ่อนนุ่ม และเพียบพร้อมด้วยความอ่อนโยนที่ไม่อาจลบเลือนไปได้ วิญญาณของเธอส่งแสงเหมือนอัญมณี เป็นแสงของแก้วผลึกที่สองแสงจากก้อนหินที่เคยให้ชีวิตเธอ ความเจ็บปวดในตัวผมยังไม่ได้สูญสลายไปในขณะที่ได้พบกับเธอ แต่ทำให้ผมอดทนมากกว่าเดิม


  • เพียงชั่วครู่เดียว เวอร์ดิกริสและตัวผมก็ไม่สามารถแยกจากกันได้ เราเดินทางไกลมากและปฏิบัติภารกิจร่วมกันเพื่อสร้างชีวิตใหม่แต่เราสองคนไม่เคยกลับมายังสถานที่ที่เธอได้ถือกำเหนิดขึ้นอีกเลยเมื่อเวอร์ดิกริสเกิดมา เธอมีความหมายต่อชีวิตผมบนดาวเฟอร์ซาห์มาก ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของเราได้เพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป และหลังจากได้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว เราจะรวมร่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อเพิ่มพลังของเรา แต่สิ่งนี้ไม่ใช่การรวมร่างทางกามารมณ์ ไม่มีใครรู้จักความรู้สึกเช่นนี้ แต่การวามร่างแบบนี้จะมีอำนาจมากกว่าการรวมร่างกายธรรดาๆ สิ่งนี้เป็นการระบุวิญญาณของเรา เป็นการหล่อหลอมความเป็นตัวเราเข้าด้วยกันรวมทั้งความคิดและร่างกายเข้าด้วยกัน


  • จริงๆแล้วเวอร์ดิกริสไม่ได้มีเชื้อสายเหมือนผม ความเจ็บปวดที่ปรากฏหลอกหลอนพวกเราตลอดมาเป็นพลังที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของเราดำเนินต่อไป เวอร์ดิกริสไม่รู้จักความเจ็บปวด ร่างกายของเธอห่อหุ้มด้วยลมหมุนที่ประกอบด้วยแร่เงินและมรกต ซึ่งเป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างน่าอัศจรรย์ และเป็นสิ่งที่เรารับรู้ว่าสวยงามบนดาวดวงนี้


  • ผมไม่รู้ว่าผมเห็นความอ่อนแอของพลังของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ผมรู้สึกได้ตอนที่เราร่วมร่างกัน วิญญาณของเธอไม่ได้สั่นสะเทือนในระดับความถี่เหมือนเดิม ความแข็งแกร่งของเธอเริ่มจางหายไปกับความอ่อนโยนซึ่งได้บ่งบอกถึงลักษณะของเธอทั้งหมด บางสิ่งบางอย่างในตัวผมเริ่มสั่นสะเทือนด้วยความกลัวเวอร์ดิกริสก็รู้สึกเช่นนั้นแล้วความสุขของเธอก็ลดน้อยเป็นเวลาชั่วครู่หนึ่ง แต่ความสุขนี้ก็ได้เริ่มใหม่เป็นครั้งที่สอง และเพิ่มมากว่าเดิม เธอบอกผมว่า "อย่ากลัวไปเลย" เราจะพบกันอีกครั้งในชาติหน้าในอีกภพหนึ่ง


  • ตั้งแต่นั้นมา ร่างของเธอก็เริ่มจางหายไป จนในที่สุดเธอก็หายสาปสูญไป ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกในตอนนั้นได้อย่างไรผมเคยบอกแล้วว่าเผ่าพันธ์ของเราไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่เวอร์ดิกริสได้สร้างความรู้สึกใหม่ๆในตัวผม และเร่งกระตุ้นวิญญาณของผม วิวัฒนาการบางอย่างในตัวผมดูเหมือนจะล้มหายตายจากไปเมื่อไม่มีเธอ ความเจ็บปวดที่รุนแรงดูเหมือนจะล้มหายตายจากไปเมื่อไม่มีเธอ ความเจ็บปวดที่รุนแรงดูเหมือนจะลดน้อยลง ผมได้กลับมาที่นี่เมื่อหนึ่่งร้อยปีก่อน ผมเคยได้สัมผัสกับพื้นผิวก้อนหินและที่นี่เองที่เวอร์ดิกริสได้ปรากฏขึ้น ทัศนียภาพเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก้อนหินต่างๆ หายไปกลายเป็นทะเลทองแดงหลอมเหลวอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยคลื่นสีเหลืองอำพันกระทบกับเส้นของฟ้า


  • ผมทะยานตัวพุ่งไปจุดที่สูงที่สุดของจักรวาล และสลายตัวท่ามกลางอากาศ ก็าซต่างๆที่เคยประกอบเป็นร่างผมกระจายแตกตัวอย่างรวดเร็ว โดยเป็นแสงริ้วลายแวววาวระยับสีทองและสีเงินความเจ็บปวดที่เป็นประหนึ่งเพื่อนสนิทบนดาวเฟอร์ซาห์ก็ได้มลายสิ้นไปพร้อมกับความตายของผม


  • ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆในเผ่าพันธุ์เดียวกันจะเห็นการจากไปของผมหรือไม่ แต่ผมรู้ว่าพวกเขาไม่ได้โศกสลดอาลัยถึงผมหรอก บนดาวดวงนี้ทุกคนไม่มีความรู้สึก 


  • ผมไม่ได้ทำลายตัวเองเพระความเจ็บปวดทางกาย แต่เป็นความเจ็บปวดทางจิตวิญญาณ การปฏิเสธลงโทษตัวผมให้รับกรรมโดยมีชีวิตเหมือนเดิมอีกครั้ง และเรียนรู้บทเรียนชีวิตเดิมจากการเกิดในหลายๆ ชาติ


  • ถ้าผมรู้ราคาแห่งบทเรียนผมก็อยากจะชดใช้ เนื่องมาจากกระทำที่หุนหันพลันแล่น ผมน่าจะลองใช้ชีวิตด้วยความโศกเศร้าผมไม่ใช่คนขี้ขลาด ผมได้ทรมานมาถึง 300 ปี กับความทุกข์ทางกายที่รุนแรงที่พอจะนึกออกได้ ถ้าการที่ผมจะทำลายชีวิตตนเองหรือปฏิเสธที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป มันไม่ใช่เพราะความขลาดกลัว แต่เป็นเพราะขาดความรัก หลังจากที่ผมได้ร่วมชีวิตกับเวอร์ดิกริส ผมไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หากไม่มีเธอ


  • มันช่างเป็นภาพลวงตาที่โงเขลา ผมต้องชดใช้การกระทำของตนอย่างขื่นขมเพียงได ผมต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดมากเท่าใหร่ และผมต้องเกิดอีกกี่ชาติ แล้วอีกกี่หลายร้อยปีที่ผมจะได้พบเวอร์ดิกริสอีกครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น