วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 4 หลายภพโลก




ตอนที่ 4 หลายภพโลก


  • เจเรไมกล่าวว่า ผมต้องเผชิญและเอาชนะความโศกเศร้า แต่ในช่วงแรกของชีวิต ผมต้องเรียนรู้บทเรียนอื่นๆก่อน วัฏจักรของการเกิดใหม่จะแตกต่างกันไปตามวิญญาณแต่ละคน และถูกกำหนดจากความสามารถที่จะเรียนรู้และปรับบทเรียนขึ้นมาใช้


  • ในชาติต่อไปนั้นผมได้อาศัยในร่างที่มีความรู้สึกในรูปของน้ำที่ดาวอาร์เดนิส ซึ่งจะพบเห็นได้เหนือกลุ่มดาวลูกไก่ขึ้นไป มันเป็นขีวิตที่ยาวนานปราศจากความสับสนบางทีเจเรไมและโจแอ็บคิดว่า ภพที่แหมาะสมจะถูกแนะนำให้รู้จักหลังจากเกิดความวุ่นวายในชีวิตของ 2 ชาติแรก บทเรียนชีวิตบนดาวนี้ คือความอดทนน้ำไม่เคยไหลเชี่ยวและไม่มีความกังวล


  • อาร์เดนิส เป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กดวงหนึ่งจากดาวเคราะห์ทั้งหมด 3 ดวง ที่โคจรหมุนรอบดวงอาทิตย์ที่สวยงามสว่างไสว โดยแสงของดวงอาทิตย์ได้ทำมุมหักเหบนดาวอาร์เดนิสเป็นวงรุ้งที่มีสีสันสวยงามจนมิอาจจะพรรณนาได้ ดาวเคราะห์ทั้ง 3 ดวงเป็นที่อาศัยของเผ่าพันธุ์ที่พัฒนาเท่าเทียมกันของเหล่าอัจฉริยชนที่มีหน้าที่ในการสำรวจกาแลกซีเป็นเวลามากว่าหลายล้านปีมาแล้วที่พวกเขาได้เดินทางไปยังเขตหวงห้ามของจักรวาล


  • ดาวเคราะห์ทั้ง 3 ดวงมีชื่อว่า อาร์เดนิส ดรามานิส และ กราทิลิส เป็นดาวที่มีวิวัฒนาการเหมือนกันและอยู่ใกล้กัน ผู้อาศัยในหมู่ดาวเหล่านี้เรียกตัวเองว่า เดรคโดกี้ และเคยประสบความสำเร็จในการเดินทางข้ามกาแล็กซีโดยใช้รังสี 3 เส้น ซึ่งสามารถนำพวกเขาไปยังดาวเคราะห์และระบบไปก็ได้ที่อยากจะไปในทันที ดาว 3 ดวงนี้มีชื่อว่า รังสี 3 เส้น ก็เพราะว่าตัวดาวเคราะห์เชื่อมโยงซึ่งกันและกันทั้ง 3 ดวง แหล่งกำเหนิดรังสีเกิดจากการเชื่อมโยงของพลังจิตของชาวเดรคโคกี้


  • น้ำในดาวอาร์เดนิสไม่ได้มีส่วนประกอบด้วยไฮโดรเจนและออกซิเจนเหมือนน้ำในโลกมนุษย์ แต่เป็นส่วนผสมของปรอทและไนโตรเจนเหลว แร่ธาตุอย่างนี้ทำให้น้ำในดาวอาร์เดนิสมีลักษณะเหนือชั้น แต่โปร่งแสงมีสีเงินเรือง น้ำจะลดและไหลไปตามความเร็วของกระแสน้ำซึ่งหมายความว่าน้ำจะเคลื่อนที่จากระลอกคลื่นหนึ่งไปยังอีกอันหนึ่ง โดยได้ส่งความรู้สึกนึกคิดไปตามพื้นน้ำอันกว้างใหญ่นี่คือสิ่งที่บอกว่า ผมอยู่ที่นี่นานถึง 500 ปีได้อย่างไร โดยผมยกตัวเคลื่อนจากจุดสูงสุดของดาวอาร์เดนิสไปยังอีกจุดหนึ่งทำให้ผมเข้าใจกระจ่างขึ้นด้วยการสั่นสะเทือนที่เปล่งแสงเจิดจ้า


  • ชาวเดรคโคกี้เป็นชนชาติที่มีความรู้ความฉลาดที่ยอดเยี่ยมในจักรวาล และพวกเขาพยายามที่จะยกระดับสติปัญญาโดยรวมของชนชาติที่พวกเขาได้ไปเยือนด้วย เขาไปเยี่ยมโลกมนุษย์เป็นครั้งคราวพวกเขาปรากฏกายโดยฝังร่างไว้ เหล่าประชากรมนุษย์ชาวเดรคโดกี้เหล่านี้ได้อยู่ในร่างของนักวิทยาศาสตร์หรือนึกคิดที่มีพรสวรรค์พิเศษซึ่งช่วยพัฒนาสติปัญญาบนโลกมนุษย์ รวมทั้งประชาชนบนโลกด้วยจะไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าเขาเป็นมนุษย์นอกพิภพ อันที่จริงแล้วมนุษย์โลกได้รอคอยผู้มาเยือนจากดินแดนนอกพิภพมานานแล้ว โดยไม่ได้คิดเลยว่ามนุษย์นอกพิภพมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับพวกมนุษย์โลกมานานนับศตวรรษแล้ว


  • การสิ้นภพจบชาติบนดาวอาร์เดนิสองผมได้เกิดขึ้นเร็วมากเหมือนตอนเริ่มต้น ตัวผมเองค่อยๆ ออกจากลำน้ำและรู้สึกอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้เจอกับโจแอ็บและเจเรไม


  • เจเรไม่พูดว่า "ระยะเวลาที่สงบในช่วง 500 ปี ช่วยจิตวิญญาณผมได้มากทีเดียว รัศมีของคุณจะเปล่งแสงเพิ่มมากขึ้นและไฟสีแดงก็จะดับมอดไป"


  • ผมถามไปว่า "ทำไม่คุณพยายามพามาจากดาวอาร์เดนิสนี้เสียล่ะผมอยู่ที่นั่นก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ผมอยากจะอยู่บนดาวอาร์เดนิสชั่วนิรันดร์กาลเลย"


  • เจเรไมตอบว่า "คุณลืมเวอร์ดิกริสไปแล้วหรือ"วิญญาณของผมที่เปี่ยมล้นไปด้วยความทรงจำว่า ในอดีตที่ผ่านๆมาและเกิดความโหยหาในตัวของเวอร์ดิกริสอันเป็นที่รัก ผมรู้ว่าตัวผมรู้สึกอึดอัดอยู่ภายใน


  • ผมร้องตะโกนอย่างสิ้นหวังว่า "เวอร์ดิกริส! เกิดอะไรขึ้นกับเวอร์ดิกริส คุณสัญญากับผมว่าจะอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ที่ผมจะต้องรอเพื่อจะได้รวมร่างกัน"


  • โจแอ็บกล่าวด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบด้วยแสงแห่งจักรวาลว่า "คุณแทบจะไม่ได้เริ่มการเดินทางแสวงบุญทางจิตวิญญาณเลย แต่คุณได้สิ้นหวังต่อภาระหน้าที่ของตนเองเสียแล้ว ระยะเวลาแห่งความสงบช่วง 500 ปี บนดาวอาร์เดนิสน่าจะสอนให้คุณมีความอดทนมากกว่านี้"


  • ผมกล่าวด้วยความละอายว่า "คุณพูดถูกต้อง ผมต้องได้รับบทเรียนมากกว่านี้ ความอดทนเป็นทบเรียนที่ดีงามที่สุด ในตอนนนี้ผมคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยผมได้เผชิญกับการทดสอบที่จะมาถึงได้โดยใช้ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่"


  • โจแอ็บบอกว่า "ผมพอใจในคำพูดของคุณมาก คำพูดของคุณแสดงให้เห็นว่าคุณมีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น พวกเราได้อยู่ร่วมกันใน เกรทไวท์ เคาน์ซิล ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบวิญญาณที่มีระดับขนาดคุณและจะกำหนดว่าระยะเวลาที่เหลือในการเป็นมนุษย์ของคุณจะไปปรากฏในระบบดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า ซาลาร์ส (ดวงอาทิตย์)ระบบนี้ประกอบด้วยดาวเคราะห์ที่โคจร 12 ดวง ซึ่งในแต่ละดวงจะมีลักษณะสิ่งมีชีวิตที่เด่นขัดเป็นของตัวเอง ดวงดาวเหล่านี้แตกต่างห่างไกลกันมากจนไม่มีใครสนใจสิ่งมีขีวิตบนดาวอื่นๆ ดาวเคราะห์ที่มีวงโคจรใกล้กับซาลาร์สมากที่สุดในจักรวาลนั้นก็คือ เมอร์เกอร์ ดาวดวงนี้เป็นดาวขนาดเล็กมีพื้นผิวที่หลอมเหลวเนื่องจากอยู่ใกล้ดาวซาลาร์ส สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนดาวดวงนี้มีรูปร่างเป็นก๊าซและของเหลว เหมือนกับที่คุณรู้จักในภพแรกของผมบนดาว ไอซิสตาร์ ระดับวิญญาณของดาวดวงนี้อยู่ในระดับกลางของแสงสว่างในโลกวิญญาณ แต่อัตราการพัฒนาทางวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ในไม่ช้าดาวดวงนี้จะทำให้เกิดความสนใจในดินแดนที่เหลือของจักรวาล ในวงโคจรที่สองมีดาวที่ชื่อว่า วินิริส บนพื้นผิวดาวจะมีเมฆหมอกหนาปกคลุม สิ่งนี้เป็นผลมาจากบรรยากาศที่หนาแน่น ซึ่งประกอบด้วยซัลเฟอร์และไททาเนียม สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนดาววินิริสมีลักษณะเป็นก็าซ ของเหลวและของแข็งและยังสามารถเปลี่ยนรูปได้ไม่มีที่สิ้นสุด สติปัญญาความฉลาดจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์ที่มีรูปร่างเป็นก็าซจะสื่อสารทารโทรจิต และไม่ต้องการรูปทรงที่เป็นของแข็ง เผ่าพันธุ์นี้ได้ครอบครองดาววินิริส และเผ่าพันธุ์นี้มีชื่อว่า เทปเส็ค" (Tepsech)


  • ผมถามโจแอ็บว่า "แล้วเรารู้จักพวกเขาได้อย่างไร หรือนี่คือชื่อที่เขาเรียกตัวเอง"


  • โจแด็บตอบว่า "ชื่อของชนชาติเผ่าพันธุ์และดวงดาว จะเหมือนกันหมดในจักวาล"


  • คนในดาวเหล่านี้จะสื่อสารโทรจิตกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ โดยใช้พลังที่ควบบคุมจักรวาล


  • "แล้วถัดจากดาววินิริส นั้นคือดาวอะไร"
  • "โลกมนุษย์อยู่ในวงโคจรลำดับ 3 ที่ล้อมรอบดวงอาทิตย์ บนโลกมนุษย์สิ่งมีชีวิตจะมีรูปร่างเป็นก็าซ ของเหลว และสถานะของแข็งและมีเผ่าพันธุ์มากมายนับไม่ถ้วน มนุษย์เกือบทุกคนในโลกสื่อสารทารโทรจิตแต่มีเผ่าพันธุ์เดียวที่ยกเว้น ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ระดับกลางของเขามีลักษณะเป็นของแข็งและรู้จักในจักรวาลว่าเป็น มนุษย์ พวกเขาเรียกตนเองว่า มนุษย์ชาติ และเชื่อว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในดาวดวงนี้ 
  • แต่เปล่าเลย เผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดเป็นพวกที่มีรูปร่างเป็นก็าซชื่อ เอเธอริส ก๊าซจะมีลำดับชั้นของสถานะที่ซับซ้อนและพัฒนาตัวเองได้ดีมาก พวกก๊าซนี้เองที่ปกป้องโลก และให้ชีวิตแก่สรรสิ่งทั้งหลาย อาทิเช่น มนุษย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุม ก๊าซได้ช่วยมนุษย์มาตลอด อาจจะกล่าวได้ว่าพวกก๊าซเป็นพรรพบุรุษสายเลือดเดียวกันของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการเลือกสรรแล้ว และอยู่ ณ บริเวณที่คาบเกี่ยวระหว่างการพัฒนาทางจิตวิญญาณและทางวัตถุ แม้ว่ามนุษย์จะเห็นเชื้อชาติทีสูงส่งแต่ความก้าวหน้าทางการยกระดับจิตใจที่ช้าจะทำให้พบกับความหายนะในอนาคตได้ ถ้าพวกมนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่รอด ณ เวลาในปัจจุบัน โดยไม่ได้มีการฆ่าฟันกันเอง พวกมนุษย์ก็อาจจะมีโอกาสไปถึงระดับการพัฒนาทางจิตและวัตถุได้สมบูรณ์ในดาวของตนเอง"


  • ผมถามออกไปว่า "อันตรายอะไรที่จะคุกคามพวกมนุษย์"เจเรไมตอบว่า "ก็คือความไม่เข้าใจและการปรับตัวเองได้ให้เหมาะสมกับวัตถุ และความเชื่อที่ว่าโลกมนุษย์คือสรรพสิ่งทั้งหมด"


  • ผมถามด้วยความสงสัยว่า "แล้วพวกมนุษย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยหรือบนโลก"


  • เจราไมตอบว่า "ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่โลกเป็นดาวที่สวยงามมากสิ่งนี้จะทำให้เขาพัฒนาความปรารถนาอย่างแรงกล้าเพื่อคงอยู่บนโลกตลอดกาล โดยยินดีต่อความพึงพอใจต่างๆ ที่อาจจะมีขึ้นได้ที่นั่น"


  • ผมพูดว่า "ผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณกล่าวถึงจากทุกชาติที่ผ่านมาของผม ผมไม่เคยได้รัสแห่งความสุขเลย"


  • โจแอ็บตอบว่า "ตัวคุณยังหนุ่มอยู่นะ คุณไม่อาจต้านทานสิ่งยั่วยุบนโลกได้หรอก ถ้าเราส่งคุณไปบนโลกในตอนแรก วิญญาณที่จะไปอยู่บนโลกนั้นเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาทางร่างกาย โลกเป็นดาววิญญาณจะถูกยั่วยุและทรมานอย่างแสนสาหัส หลายคนไม่อาจต้านทานต่ออำนาจเหล่านี้ได้ และได้ฝ่าฝีนกฎจักรวาลมาโดยตลอดหรือไม่ก็จะไม่ยอมรับบทเรียนที่กำหนดไว้ แต่บุคคลอื่นๆ ที่ได้ไปถึงจุดสุดยอดของประสบการณ์
  • ในโลกมนุษย์ด้วยความผ่องใสพวกเขาเหล่านั้นก็จะสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดของสังขารบนโลกแต่ส่วนใหญ่แล้วจะเรียนรู้เฉพาะบทเรียนชีวิตของตนเอง และจะเกิดใหม่ซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า"


  • ผมถามว่า "แล้วใครกันล่ะที่ยั่วยุมนุษย์เหล่านี้"
  • เจเรไม่ตอบว่า "เป็นพวกเวร็คกลี พวกนี้ทำงานร่วมกันกับผู้ชำระบาป โดยมีหน้าที่ทดสอบวิญญาณเพื่อให้ยอมรับกับบทเรียนของตนเอง"


  • ผมถามต่อว่า "ยาต้าเป็นพวกเวร็คกลี ใช่หรือไม่"
  • "เปล่า ยาต้าเป็นวิญญาณระดับสูงกว่าทุกเผ่าพันธุ์บนดาวเดล ยาต้าถูกเลือกเป็นผู้ชำระบาปบนดาวเดล เพื่อช่วยให้มีการพัฒนาจิตวิญญาณเร็วยิ่งขึ้น พวกเวร็คกลีทำงานร่วมกันกับผู้ชำระบาปคนอื่นๆตามเผ่าพันธุ์ของตนเองและพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกฎแห่งจักรวาล"


  • "แล้วพวกเขาจะยั่วยุผมหรือเปล่า"
  • โจแอ็บกล่าวว่า "เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่คุณจะถูกยั่วยุในแต่ละชาติ สิ่งนี้เป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญเพื่อให้เกิดการพัฒนาแห่งจักรวาล"


  • ผมถามว่า "ก่อนนี้ทำไมคุณไม่ได้บอกอระไรเลยเกี่ยวกับพวกเวร็คกลี"
  • เจราไม่ตอบว่า "ก็เพราะว่าคุณยังไม่เข้าใจนะสิ แตตอนนี้ความรู้สติปัญญาของคุณพัฒนามากพอแล้วที่ได้รับบทเรียนนี้ ถ้าคุณได้เรียนรู้มันอย่างดี บทเรียนนี้ก็จะช่วยคุณได้มากทีเดียวเมื่อคุณเกิดในภพหน้า"


  • ผมยืนกรานพร้อมทั้งความรู้สึกฉงนเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเจ้าสัตว์ประหลาด โดยกล่าวว่า "แล้วผมจะรู้จักพวกเวร็คกลีนี้ได้ยังไงกันพวกมันมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร"


  • แสงสว่างที่โชติช่วงเปล่งออกมาจากฑูตสององค์ที่ได้ห่อหุ้มร่างกายเขาอยู่ ร่างของโจแอ็บมองเห็นได้ชัดเจนจากแสงที่ปกคลุมไว้ผมได้เห็นฑูตมีความสวยงานเหลือเกิน ซึ่งดูเหมือนจุดไฟส่องแสงในทะเลเวิ้งแห่งแสงสว่างของจักรวาล


  • เขาบอกว่า "พวกเวร็คกลีไม่ได้ปรากฏตัวตนเป็นแสงสว่าง แต่จะปรากฏเป็นความมืด เวร็คกลีเป็นส่วนหนึ่งของความสับสนวุ่นวายซึ่งจักรวาลแรกเริ่มเดิมทีถือกำเหนิดมาจากความวุ่นวานนี้ พวกเวร็คกลีถือว่าเป็นผู้นำชั้นสูงของเฟิร์ส เคาน์ซิล แต่อย่าวิตกครุ่นคิดเกี่ยวกับพวกเขาไปเลย ภาระหน้าที่ของเวร็คกลีไม่ใช่การทำลายล้างแต่เป็นการชำระบาป คุณคงไม่เข้าใจสิ่งนี้ในสภาพปัจจุบันของคุณหรอกพวกเวร็คกลีจะปฏิบัติภาพกิจให้สำเร็จ โดยภาพกิจนั้นได้กำหนดโดยพลังสร้างสรรค์แห่งจักรวาล ซึ่งพวกเขา คุณและฉันเองก็เป็นส่วนหนึ่งของพลัง" 


  • ผมถามโดยคิดว่าฑูตทั้งสองคนต่างไม่ต้องการพูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวร็คกลีว่า "ดวงดาวที่อยู่ถัดจากโลกคือดาวอะไร"


  • เจเรไมตอบว่า "มาเร็ก (ดาวอังคาร) อยู่ในวงโคจรทีสี่ ผิวของดาวดวงนี้เป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่สีแดง ธาตุประกอบทั่วไปนั้นเป็นคาร์บอน ออกซิเจน ทองแดง และธาตุผสมทั้ง 3 อย่างที่กลายเป็นของแข็งโดยมีรูปร่างคล้ายก้อนหิน พวกนี้ไม่ได้พัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นการบ่งบอกถึงการับรู้ของจักรวาลนั้นมีความละเอียดลออและธาตุพวกนี้จะพัฒนาได้ช้ามาก ในวงโคจรลำดับที่ 5 มีดาวเคราห์ขนาดยักษ์ชื่อว่า เฮอร์เซล (ดาวพฤหัสบดี) โดยมีบรรยากาศที่เป็นก๊าซก่อตัวขึ้นจากไฮโดรเจนและฮีเลียม รวมทั้งส่วนประกอบของแอมโมเนียที่มีปริมาณมาก ดาวดวงนี้มีระบบที่ไม่เหมือนดาวอื่นใดโดยมีพื้นผิวประกอบด้วยชั้นก๊าซมากมาย ในตอนกลางของกลุ่มก๊าซเหล่านี้จะร้อนจัดและก่อให้เกิดความสับสนอลหม่านของก๊าซบริเวณพื้นผิวดาว"


  • ผมถามไปว่า "มีสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณเหมือนผมบนดวงดาวนี้หรือเปล่า"


  • โจแอ็บตอบว่า "ผิวของดาวเฮอร์เซล เป็นแหล่งที่สำคัญที่สุดของพลังงานจักรวาลในกาแล็กซี่ ผู้เดินทางข้ามดวงดาวหลายคนได้หยุดพักที่นี่เพื่อเติมพลัง เหมือนที่วิญญาณได้ทำกัน เพื่อติดต่อกับพลังจักรวาลอื่นๆ สิ่งมีชีวิตบนดาวเฮอร์เซลต่างมีรูปร่างเป็นก๊าซและมีความสามารถทางจิตวิญญาณได้เยื่ยมยอด นับว่าเป็นความยากลำบากอีกครั้งสำหรับคุณที่จะเข้าใจความก้าวหน้าเช่นนั้นของพวกเขา ในสภาพการพัฒนาทางจิตวิญญาณของคุณในตอนนี้"


  • ผมถามในทันทีว่า "มีดวงดาวอื่นๆอีกหรือเปล่าในระบบสุริยจักรวาล"


  • "ถัดจากดาวเฮอร์เซล ก็คือ ดาวแซทเทอร์นัส (ดาวเสาร์) เป็นดาวที่มีวงแหวนล้อมรอบขนาดใหญ่ ตัววงแหวนประกอบด้วยก๊าซและหินกรวด และวงแหวนจะถูกควบคุมดึงดูดโดยดวงจันทร์บริวารเล็กๆ 2 ดวง ที่โคจรรอบดาวดวงนี้ บนดวงจันทร์มีผู้เฉลียวฉลาดที่พัฒนาก้าวไกลมากที่สุดของดาวแซทเทอร์นัส สิ่งนี้ก็คือเผ่าพันธุ์ที่มีการพัฒนาตนเองอย่างสูงของชีวิตของหินนั้นเอง ถัดจากดาวแซทเทอร์นัส ก็คือวงโคจรของดาวเนปจูเนียส (ดาวเนปจูน) ดาวยูเรติส (ดาวยูเรนัส) ดาวปราติลิส (ดาวพลูโต) ดาวดราโคนิส และดาวเครปติส ดวงดาวเหล่านี้เป็นถิ่นอาศัยของชนชาติเผ่าพันธุ์ที่มีความฉลาดระดับอัจฉริยะที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เครปติสเป็นดาวดวงสุดท้ายซึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะของเหลวกึ่งแข็งอาศัยอยู่โดยอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นจำพวกน้ำแข็งที่ประกอบด้วยน้ำกับธาตุอาร์กอน แสงของพระอาทิตย์แทบจะส่งไม่ถึงดาวดวงนี้เลย ดาวดวงนี้ปกคลุมไปด้วยความมืดทั้งหมด และมีแสงเพียงอันเดียวเท่านั้นที่เกิดจากการปะทะกันของก๊าซอิออน และอาร์กอนที่มีพลังสูงมาก 
  • ดาวดวงนี้มีเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดปราดเปรื่องมากและมีระดับการวิวัฒนาการชั้นสูง อิธิพลของดาวดวงนี้ช่วยสร้างความกลมกลืนของระบบสุริยจักรวาลเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ในที่สุดเมื่อสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์มาถึงจุดสูงสุดของการวิวัฒนาการโดยรวมทั้งหมดพวกเขาเหล่านี้จะรวมกันโดยมีพันธกิจที่แปลงกาแล็กซี่ให้กลายเป็นจักวาลทั้งหมดในที่สุด นี่คือเหตุผลที่ช่วยบอกว่าดาวทุกดวงในระบบนี้มีความสำคัญและมีกฎเกณฑ์ที่จะปกครองและคุ้มครองตัวเอง"


  • เมื่อโจแอ็บกล่าวจบ แสงรัศมีได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับเจเรไมกลายเป็นแสงปะทุที่ระยับตา


  • ฑูตที่อยู่ในร่างเดียวกันถามผมว่า "คุณได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องทั้งหมดนี้บ้าง"


  • ผมตอบว่า "ผมยังตัวเล็กและยังเด็กมาก ยังต้องเรียนรู้อีกมากมาย"


  • "แล้วคุณจะได้รับโอกาสนั้นโดยเร็ว คราวนี้คุณมีโอกาสที่จะเรียนรู้บทเรียนต่างๆ มากมาย และได้ประสบพบสิ่งต่างๆ ในช่วงเวลาชาติหนึ่ง"


  • ผมร้องถามด้วยความตื่นเต้นว่า "เป็นบทเรียนอะไรหรือครับกรุณาช่วยบอกผมได้ใหม และมันอยู่ที่ไหนกัน"


  • "โลกเป็นทั้งสถานที่และเป็นบทเรียนที่เกี่ยวข้องกับความยินดีซึ่งคุณได้ถามหามาก่อนหน้านี้ ในขณะที่คุณได้รับประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ คุณเองจะได้พบกับความรู้สึกตระหนี่ ความอิจฉาริษยาและตัณหา และตกอยู่ใต้อิทธิพลการทำลายล้างของอำนาจและการเข่นฆ่า สิ่งนี้ไม่ได้เป็นชีวิตที่แสนง่ายเลย และคุณต้องจำในจิตวิญญาณส่วนลึกว่าเวร็คกลีจะยั่วยุและทรมานคุณตลอดที่คุณยังมีชีวิต ถ้าคุณจำนนต่อสิ่งเหล่านี้ คุณต้องเกิดใหม่หลายภพชาติกว่าจะได้พบเวอร์ดิกริส"


  • ผมถามทันทีว่า "แล้วพวกคุณสองคนจะตามผมไปด้วยหรือเปล่า วิญญาณของผมถูกความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครอบงำ ซึ่งผมรู้ว่าคือความกลัวนั้นเอง"


  • ฑูตทั้ง 2 คนกล่าวพร้อมกันว่า "เราสองคนจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ คุณจะไม่อยู่โดดเดี่ยวอ้างว้าง แม้ว่าคุณจะไม่ได้สัมผัสมองเห็นตัวพวกเราก็ตาม วิญญาณของคุณอาจจะแข็งแกร่งขึ้นจากการทดสอบที่ใกล้จะมาถึง"


  • แสงโชติช่วงนั้นวูบดับไป แล้วผมก็หมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็รู้สึกตัวเองอยู่บนโลกแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น