วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 5 โลกมนุษย์ ส่วนที่ 1




ตอนที่ 5 โลกมนุษย์ ส่วนที่ 1 


  • สิ่งที่ผมประทับใจในโลกใบนี้ก็คือความหนาวเย็น เป็นความเย็นที่หนาวเหน็บ มีมือที่หยาบกระด้างอุ้มผมออกมาสู่สถานที่อบอุ่นและสบายตัวซึ่งดูเหมือนตัวผมจะลอยคว้างอยู่ชั่วนิรันด์ ผมรู้สึกไม่พอใจต่อเสียงดังและกรีดร้องที่น่าตื่นตกใจ ผมจำคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับฑูตทั้ง 2 คน ผมพยายามทุเลาความโกรธด้วยความอดทนที่ผมเคยได้เรียนรู้บนดาวอาร์ดานิสแต่มันเป็นการปลอบใจตัวที่แย่จริงๆ


  • มือที่หยาบกระด้างคู่เดิมได้ใช้น้ำอุ่นอาบตัวผมและห่อตัวผมด้วยผ้าที่แข็งหยาบ ต่อมาผมรู้ว่าผ้าผืนนั้นอันที่จริงแล้วเป็นผ้าลินินที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเหมือนก้อนกรวดในดาวเดล ซึ่งสัมผัสผิวกายที่อ่อนไหวของผม ผมมีชีวิตอยู่ได้กับน้ำพุอุ่นนุ่ม และอาหารที่ผมได้จากน้ำพุนั้นอร่อยมาก แต่มีกลิ่นแแปลกๆต่อมาผมรู้ว่าน้ำพุนั้นก็คือ น้ำนมจากมารดาของผมนั้นเอง


  • วันที่ผมถือกำเหนิดนั้นผมรู้สึกพอใจทีเดียว มีความสับเปลี่ยนหมุนเวียนในชีวิต ได้แก่ ความอ่อนโยน การนอนหลับ อากาศหนาวเย็นช่วงสั้นๆ และความอึดอัดไม่สบายตัว เมื่อผมตื่นนอนขึ้นมาผมได้ใช้เวลาไปกับมือของคนหลายคน แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจภาษาของบุคคลเหล่านั้นก็ตาม ผมรู้สึกว่าการถือกำเนิดเป็นที่มาแห่งความยินดีน่าพอใจแก่ผู้คนรอบข้อง ถ้าชีวิตในชาตินี้ลำบากยากเข็ญตามที่เจเรไม และโจแอ็บกล่าว ผมของอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตเถอะ ผมคิดอย่างพึงใจ


  • วันเวลาผ่านไป ผมเริ่มจำคนต่างๆ รอบตัวผมและเริ่มเข้าใจอย่างช้าๆ ถึงภาษาของพวกเขา แม่ของผมเป็นสตรีเลอโฉม มีรูปร่างงดงาม เป็นคนเจ้าระเบียบมาก พ่อไม่เคยเถียงแม่ แต่ผมก็พอรู้อยู่หรอกึงสีหน้าอันเบื่อหน่ายของพ่อที่พยายามจะไม่เถียงแม่


  • สถานที่ที่ผมอยู่ในช่วง 2 - 3 เดือนแรกนั้นสุขใจมาก เตียงนอนของผมตกแต่งด้วยสีทองและอยู่ในอากาศโปร่งถ่ายเท โดยหันหน้าไปทางทะเลสีครามจรัสตา หญิงที่ดูแลผมคือ นูเบียน ตัวเธอดำตัดกับชุดลินินที่เธอสวมใส่อย่างพอเหมาะพอเจาะ


  • ตอนแรกๆ นั้น แม่แวะมาเยี่ยมดูผม 2 ครั้งต่อวัน แต่หลังๆแม่จะมาน้อยลงและในที่สุดแม่ก็แวะมาดูผมแค่สัปดาห์ละครั้งสองครั้งและจากนั้นก็แวะมาเยี่ยมมช่วงสั้นๆเท่านั้นตอนนั้นผมได้กินอาหารจากหญิงร่างใหญ่ที่อุ้มเด็กอายุน้อยกว่าผม ที่เธอได้เลี้ยงดูและให้กินข้าวต่อจากผม เพราะว่าบางทีอาจจะไม่มีอาหารพอสำหรับเด็กทารก 2 คน เด็กที่เธออุ้มมานี้นผอมซีด แม่ของเด็กคนนี้ไม่เคยปริปากบ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมที่เห็นได้ชัดเจนนี้ เธอยังคงมาที่นี่และป้อนข้าวป้อนน้ำให้ผมวันละ 4 ครั้ง วันหนึ่งเธอไม่ได้นำลูกมาด้วย ซึ่งนับตั้งแต่บัดนั้นก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นอีกเลย ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนี้นเป็นตายไปล้วหรือยังไง ต่อมาไม่นาน ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เหยียบย่างมาที่นี่อีกเลยอาหารของผมเปลี่ยนเป็นนมแพะ ซึ่งน่ากินและอร่อยมาก

  • ในบางครั้งโจแอ็บและเจเรไมมาหาผมโดยได้สั่งสอนผมผ่านทางโทรจิตเรื่องภาระหน้าที่ซึ่งผมต้องกระทำบนโลกใบนี้ พวกเขาบอกผมว่าหลังจากนี้พวกเขาไม่สามารถมาหาผมได้อีก อำนาจอิธิพลของโลกน่าจะเริ่มปรากฏเพื่อจะได้รู้สึกบ้าง แล้วผมก็ลืมเรื่องภพชาติของผมไป นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นทีเดียวที่ผมได้สอนสั่งให้จิตสำนึกภายใน จำคำสั่งสอนของโจแอ็บและเจเรไม่อย่างเงียบๆเพื่อว่าจะได้มีหลงลืมคำสอนนี้ไป



  • การติดต่อสื่อสารระหว่างฑูตวิญญาณกับผมไม่ได้ติดต่อโดยผ่านภาษาใด แต่เป็นการสัมผัสติดต่อทางจิตที่ผ่านข้ามวิญญาณของเรามากกว่า ผมไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดออกมาเมื่อผมได้เห็นพวกเขาปรากฏกายอย่างปัจจุบันทันด่วน หากจะพูดในอีกความหมายหนึ่งนั้นก็คือว่า บนโลกมนูษย์นั้นแต่ละคนพูดจาแตกต่างกัน และผมก็ได้รับรู้ในหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาพูด โดยไม่ได้สะท้อนออกมาจากจิตใจพวกเขา เมื่อผมภามโจแอ็บว่า สิ่งนี้หมายถึงอะไร เขาก็บอกว่า การพูดคุยที่ไม่เป็นจริงเรียกว่า การโกหก คำโกหกจะไม่สะท้อนจากวิญญาณเพราะเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ผมรู้สึกประหลาดใจเขาเลยกล่าวต่อไปว่า การโกหก
  • เป็นเรื่องปกติเพราะมนุษย์ไม่ได้ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ผมอยากรู้ว่า "ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น" เขาตอบว่า "เพราะมนุษย์คิดถึงแต่ตนเองเท่านั้น และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตอบสนองสัญชาตญาณพื้นฐานและตันหาของตนเองเท่านั้น นี่คือโศกนาฏกรรมของชีวิตมนุษย์เราเรียกสิ่งนี้ว่า ความเห็นแก่ตัวคุณต้องหลีกเลี่ยงอำนาจความเห็นแก่ตัวนี้ เพราะมันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามายุ่งเกี่ยว"


  • เหมือนดังที่โจแอ็บและเจเรไมทำนายทายทักไว้ ทันทีที่ผมเริ่มพูดภาษาของโลกมนุษย์ได้ และปรับเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างกระตือรือร้น ความทรงจำของผมส่วนหนึ่งก็เริ่มเลือนหายไปแสงรัศมีโชติช่วงที่ฑูตวิญญาณอาศัยอยู่นั้นได้ทึบแสงลง เสียงฑูตทั้งสองเริ่มขาดหาย เช้าวันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาโดยรู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นเด็กบนโลกที่มีอายุ 1 ขวบครึ่ง หลังจากนี้ไปชีวิตของผมคงจะยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผมไม่รู้จะอธิบายสิ่งแปลกๆ ที่ผมได้เห็นและได้ฟังเป็นประจำ เหล่าพวกคนรับใช้ดูแลผมนั้นวันๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากดูแลอาหารการกินของผมและหาสิ่งของมาวางรอบๆตัว ผมรู้สึกเบื่ออยู่ตลอดเวลา เวลาที่ผมอยู่กับพ่อเท่านั้นที่ผมมีความสุข พ่อมาอยู่เคียงข้างผมในทันทีที่แม่ไม่สนใจผมแล้ว


  • ในบางครั้งพ่อของผมจากไปเป็นเวลานานเพื่อต่อสู้กับข้าศึกศัตรูหรือบางทีพ่อก็บอกให้ผมรู้ เมื่อพ่อกลับมาพ่อจะนำของแปลกและหายากจากการสู้รบและก็จะอยู่เป็นเพื่อนผมข้างๆ เพื่อชดเชยเวลาที่พ่อไม่อยู่ สำหรับพ่อกับแม่แล้วนั้น หากเป็นไปได้จะหลบหน้าไม่ยอมเจอกัน แต่เมื่อพ่อกับแม่เจอกันทีไร ผมรู้สึกตกใจกลัวคำด่าทอโต้เถียงกันของพ่อกับแม่ เสียงร้องของผมมักทำให้เสียงพ่อแม่เงียบลงเสมอ แต่พ่อมักจะเป็นฝ่ายเดินออกไปจากห้องเอง


  • ผมผ่านวัยทารกไปอย่างรวดเร็ว พอผมอายุได้เพียง 5 ขวบพ่อก็สอนให้ผมให้ใช้หอกและดาบสั้น แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อชอบก็คือ ให้ผมระวังทาสอายุแกกว่าผมคนหนึ่ง ซึ่งสอนให้เขาโจมตีตัวผมราวกับว่าผมเป็นคนโตแล้ว
  • ทาสคนนี้ได้รับการฝึกปรือมาอย่างดี ในด้านศิลปะการต่อสู้ และพ่อของผมได้ฝึกฝนให้เขาเก่งกาจ ผมประจัญหน้ากันเขาโดยไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด เท้าเปล่าเล็กๆ ทั้งสองข้างของผมยืนปักหลักแน่น ผมใส่ชุดเกราะสีทองและหมวกเหล็กที่ติดขนนกมีสีสวมบนศรีษะที่ยุ่งเหยิง ผมถือโลหะสีทองด้วยมือซ้ายที่สลักเสลาเป็นแสงอาทิตย์ ส่วนมือขวาผมถือดาบสั้นจังก้าพร้อมต่อสู้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น