วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 5 โลกมนุษย์ ส่วนที่ 2



ตอนที่ 5 โลกมนุษย์ ส่วนที่ 2


  • ผมและทาสได้ประลองฝีมือกันครั้งแล้วครั้งเล่า โดยต่อสู้กันไม่มีใครแพ้ใครชนะ ตอนแรกทาสทำท่าจะชนะ โดยได้ปัดดาบหลุดออกจากมือผมอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่ดาบหลุดจากมือ พ่อจะทำโทษผมด้วยความนิ่งเงียบและหายหน้าหายตาไปหลายวัน สำหรับผมแล้วการที่พ่อทำอย่างนี้ มันเลวร้ายกว่าการ

หวดตีโดยพวกทาสอีกผมรักแม่แต่ไม่ได้มีความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างผมกับแม่ แต่ผมรักเทิดทูน
พ่ออย่างจับใจ จนทำให้ผมรู้สึกเป็นเรื่องน่าลำบากใจ หากอยู่โดยลำพังไม่เห็นพ่อ

จากที่ผมฝึกฝนฝีมืออย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือน ทาสคนนี้ก็ไม่อาจปลดอาวุธผมลงได้อีก เมื่ออายุได้ 7 ขวบ
ผมสามารถเอาชนะทาสผู้นี้ได้ในไม่กี่วินาที ผมรู้ว่าพ่อภูมิใจที่ผมทำสำเร็จ แต่พ่อไม่เคยแสดงให้ผม
เห็น ผมเท่านั้นที่รู้ถึงสิ่งนี้ เพราะพ่อจะมาหาผมทุกวันเมื่อพ่อไม่ได้ออกไปไหนและมักจะซื้อของเล่น
มาให้เสมอ พ่อดูแลอาหารการกินของผมอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้กินของหวานใดๆ
ของหวานที่ผมกินได้คือผลไม้และน้ำผึ้ง แม่เอาของหวานซึ่งทำมาจากน้ำผึ้งและลูกนัทมาให้ แต่เมื่อ
พ่อเห็น พ่อจะโกรธมากจนผมคิดไปเองว่า พ่อน่าจะทำร้ายแม่ได้ ผมไม่เคยเห็นพ่อโกรธเป็นฟืนเป็น
ไฟแบบนี้มาก่อน พ่อตวาดว่าแม่กำลังพยายามจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อลงแรงทำ และว่าแม่กำลัง
ทำให้ผมเป็นเด็กอ่อนแอปวกเปียก และเลี้ยงผมเหมือนเด็กผู้หญิง พ่อสบภด่าว่า "นักรบต้องไม่กินเค้กน้ำผึ้ง"

บางครั้งนักรบจะไม่กินอาหารอะไรเลยเป็นเวลาหลายวันเป็นสัปดาห์ แม่ตวาดกลับไปว่า ผมยังไม่ได้
เป็นนักรบ แต่เป็นแค่เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง 8 ขวบ พ่อเหวี่ยงหมวกเหล็กลงบนพื้นอย่างโมโห และผลุน
ผลันออกจากห้องนี้ไปกับเหล่าทหารของพ่อ จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไมเคยยอมกินของหวานที่แม่เอา
ให้อีกแล้วแม่ก็ไม่เคยเอาให้กินอีกเลย

เพื่อไม่ให้แม่มามีอิทธิพลเหนือตัวผม พ่อได้จ้างผู้สอนการต่อสู้ให้แก่ผม เขาเป็นบุคคลที่เจ้าเล่ห์และน่า
รังเกียจชื่อ ลีโอนิดาสเขามีหน้าที่สอนผมเกี่ยวกับศิลปะและกลยุทธด้านสงคราม เขาเป็นคนเกี้ยวกราด
และดุร้าย และสั้งสอนผมโดยไม่ปรานีปราศรัย เขาบังคับให้ผมตื่นนอนก่อนรุ่งสาง และสั่งให้ผมเดิน
สวนสนามรอบๆ อยู่หลายชั่วโมง ก่อนที่จะอนุญาตให้ผมกินข้าวเช้าที่น้อยเท่าแมวเลียแม้แต่ชาวสปาต้า
ก็ต้องโอดครวญ ในช่วงบ่ายผมได้ฝึกรบแบบทหาร หลังจากนี้ผมจะได้กินข้าวเที่ยงอันน้อยนิด และต้อง
เดินสวนสนามที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย โดยสิ้นสุดตอนถึงอาหารค่ำซึ่งเป็นสิ่งที่เคร่งครัดเช่นกัน เวลาผ่าน
ไปวันแล้ววันเล่า ผมทนต่อความเบื่อหน่ายและกิจวัตรประจำวันที่ต้องบากบั้นเพียรพยายามโดยไม่มี
ความสุขที่จะเล่นของเล่นหรือสิ่งที่น่่าพอใจอะไรได้เลย พ่อแวะมาหาผมทุกวันและพอใจฝีมือที่ก้าวหน้า
ของผม และผมก็ไม่เคยปริปากบ่นเนื่องจากกลัวว่าพ่อจะผิดหวัง แม่มาเยี่ยมผมนานๆ ครั้ง โดยไม่ได้
รับการต้อนรับที่ดีจากลีโอนิดาสและยังถูกเกียจชังจากพ่ออีกด้วย จากความรู้สึกที่ครอบคลุมตัวผมและ
บรรยากาศที่กดดันบีบคั้นที่บ้านทำให้ผ่านวัยเด็กโดยไม่ได้สัมผัสและดื่มด่ำกับความสุขสดชื่น

หลายปีผ่านไป พ่อได้เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่อย่างกระตือรือร้น แม้ว่าจะหายหน้าหายตาไปบ่อยครั้ง และ
ไปหาความสุขกับสุรานารีพ่อตระหนักที่จะให้ผมอยู่ในความควบคุมดูแลของลีโอนิดาส แต่ลีโอนิดาส
ไม่ได้สนใจต่อการพัฒนาจิตวิญญาณการเป็นนักรบของผมเลยดังนั้นพ่อจึงไล่เขาออก และจ้างครูฝึก
คนใหม่เพื่อแก้ปัญหาแทน ก่อนที่พ่อจะตัดสินใจทำสิ่งนี้ พ่อแน่ใจแล้วว่า ผมจะไม่ลืมสิ่งหนึ่งที่ผมจะ
ต้องเป็นนักรบ ด้วยความตั้งใจจริงอันนี้พ่อจึงมอบของขวัญอันล้ำค่ามากที่สุดนั่นก็คือ ม้าสีขาวที่สง่างาม
และมีชีวิตชีวาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ต่อสายตาทุกคนที่แวะมาหาพ่อ ผมตั้งชื่อมันในทันทีว่า บิวเซฟาลุส โดย
มีความหมายว่า "เจ้าหัวกระทิง" เนื่องจากหัวของมันโตมากเหมือนกับความเฉลียวฉลาดของมัน

ตอนที่พ่อให้พวกทาสนำม้าตัวนี้มาให้ผมนั้น มันทั้งเตะถีบและทำเสียงฮึดฮัดไป ลมหายใจออกจากรูจมูก
อันใหญ่ของมันหัวใจของผมเปี่ยมด้วยความปลื้มปีติ ผมรอพวกทาสอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อนำมาตัวนี้เข้าใกล้
เพื่อผมจะได้ขี่มัน แต่มันไม่ยอมให้ขี่หรือยอมให้ใครควบคุมมันได้ ผมมสังเกตเห็นว่ามาวิเศษตัวนี้กลัว
เงาที่เกิดจากการเคลื่อนของตัวมันเอง ผมเลบจับบังเหียนอย่างไม่เกรงกลัว และพามันหลบแดดไป พร้อม
ทั้งพูดกับมันดีๆ อยู่พักหนึ่ง เมื่อมาตัวนี้สงบลงผมก็ขึ้นขี่มัน และมันไม่ได้สะบัดผมลงแต่อย่างใด ชั่วครู่
เดียวก็กลับขี่มันรอบๆบริเวณที่ว่างของพระราชวัง ผมอยู่บนตัวบิวเซฟาลุสราวกับตัวติดกัน ผมเพิ่งมีอายุ
ย่าง 13 ปี ในช่วงเวลาอีก 17 ปี ข้างหน้าบิวเซฟาลุสก็จะเป็นสหายผู้ติดตามผมตลอดการต่อสู้ดิ้นรน
ของชีวิตในท้ายที่สุดเมื่อมันตายเนื่องจากอายุมากและเป็นสัตว์ที่เก่งกาจ ผมได้สร้างเมืองจำลองขนาด
ใหญ่เหนือหลุมศพ และตั้งชื่อว่าบิวเซฟาลา

ผมดีใจที่ความสามารถขี่ม้าได้ ต่อมาพ่อได้พาผมไปพบครูฝึกคนใหม่ ครูคนนี้ยังหนุ่มแน่น มีหน้าตา
หล่อเหลาและสายตาที่สงบนิ่งเขาเป็นสาวกของชายคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศกรีซและแม้
ว่ายังไม่มีใครรู้จักเขาดี แต่ชื่อเสียงของเขาเริ่มโด่งดังขึ้นเนื่องจากสติปัญญาอันชาญฉลาดหลักแหลม
และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะและปรัชญา ชื่อของชายผู้นี้คือ อริสโตเติ้ล

ผมประทับใจในตัวอริสโตเติ้ลตั้งแต่แรกแม้ว่ามีความจริงอันหนึ่งที่ว่า ใครก็ตามย่อมดีกว่าลีโอนีดาส
ที่น่ารังเกียจ ครูคนใหม่ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นคนอ่อนโยน และเข้าใจโดยไม่ต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่
ตั้งตั้งแต่นั้นมาชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มุมมองในบางสิ่งที่ชัดเจนของอริสโตเติ้ลนั้นทำให้
วิญญาณของผมได้อยู่ในความทรงจำของใบหน้าและเสียงที่โชติช่วงในสายลม แต่ความทรงจำยังริบหรี่
ที่คิดถึงโจแอ็บและเจเรไม่ยังคงลึกอยู่ในตัวผม และความเฉลียวฉลาดของอริสโตเติ้ลทำให้ความทรงจำ
เหล่านี้ไม่อาจกลับมาได้อีก

อริสโตเติ้ลสอนให้ผมรักวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ และใช้ตรรกศาสตร์ในการใช้เหตุผล อริสโตเติ้ลเป็น
คนสอนผมว่า สำหรับกษัตริย์นั้นการควบคุมอารมณ์สำคัญมากว่าการครอบครองอริศัตรู คำสอนนี้นับ
เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่อริสโตเติ้ลได้ปลูกฝึงเรื่องวิทยาศาสตร์แก่ผมเป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ผมน่าจะส่ง
ตัวอย่างที่หายากของพืชและสัตว์จากการสู้รบที่มากมายให้แก่อริสโตเติ้ล

สิ่งแรกที่อริสโตเติ้ลรู้ดีเมื่อเขาพบผมครั้งแรกก็คือว่า ผมต้องการเพื่อนผู้ชายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
พ่อได้เลือกบุตรชาย 3 คน ของขุนนางที่มีอายุไล่เลี่ยกับผม ตามคำแนะนำของอริสโตเติ้ลและนี่ก็เป็น
ครั้งแรกในชีวิตที่ผมมีเพื่อน เฮฟาธิออน เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กลายเป็นน้องชายของผมมากกว่าเพื่อน
อย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาเป็นเหมือนตัวผมอย่างแท้จริง ผมอยู่ไม่ได้เลยหากไม่มีเขา นับว่าเป็นครั้งแรก
ที่ผมรู้ซึ่่งถึงมิตรภาพที่แท้จริงและความรักใคร่จริงจังจากที่ผมมีชีวิตอันเลวร้ายเปล่าเปลี่ยว มิตรภาพ
ทำให้ผมมีความสุขสบายใจและบรรเทาทุกข์ลงได้

อริสโตเติ้ลได้ถ่ายทอดความรู้สึกในการชื่นชอบในวรรณคดีแก่ผม นักเขียนที่ผมชื่นชอบคือ พินดาร์
ซึ่งอยู่ที่ธีบีส แต่ผมชอบมหากาพย์ของโฮเมอร์ เรื่องอีเลียด ที่ได้บรรยายถึงสงครามระหว่างกรุงทอย
และกรีซ ผลงานวรรณชิ้นสุดท้ายนี้ช่วยพัฒนาสติปัญญาผมได้มาก ซึมซับคุณค่าและแนวคิดจากกรีก
โบราณเป็นอย่างมาก ตลอดชีวิตของผม ผมนอนอยู่กับหนังสือเล่มนี้ที่วางไว้ใต้หมอนและมีกริชด้าม
เล็กวางไว้ข้างๆ

การเรียนหนังสือกับอริสโตเติ้ลก็ต้องหยุดลงทันที เมื่อผมอายุได้ 16 ปี เนื่องจากผมต้องขึ้นครองราชย์
แทนพ่อ ในขณะที่พ่อได้ต่อสู้ในการรบเป็นเวลายาวนาน และแสนลำบากในอาณาจักรไบเซนเทียมที่
อยู่ทางใต้ของเมืองเทรซ พวกขุนนางราชสำนักจ้องที่จะครองอาณาจักร นับว่าเป็นงานหนักหนาสำหรับ
เด็กหนุ่มที่กำลังเรียนไวยากรณ์และเลขพีชคณิต แต่จิตวิญญาณกลับต้องมามีภาระเงื่อนไขที่กำหนดโดย
พ่อที่ควบคุมอำนาจตั้งแต่ผมยังเด็ก และผมก็ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนหน้านี้ผมได้เคย
ลองสวมมงกุฏของพ่อ และหมวกเหล็กทำสงคราม พวกเมดี้เป็นชนเผ่าเมืองเทรซที่พ่ายแพ้ต่อมาร์ซีโดเนีย
ได้ฉวยโอกาสตอนพ่อไม่อยู่และก่อกบฏต่อบ้านเมืองเรา นับเป็นครั้งแรกที่ผมส่งกองกำลังทหารของพ่อซึ่ง
ต่างยอมรับความเป็นผู้นำของผมโดยไม่ได้ทะเลาะขัดแย้งกัน และผมได้นำทัพพาพวกเขาไปยังเนินเขา
เตี้ยๆ ที่พวกกบฏซ่อนตัวอยู่ พวกเราได้กำจัดกวาดล้างพวกกบฏได้อย่างรวดเร็ว ผมได้ตั้งเมืองขึ้นใหม่
เหมือนที่พ่อเคยปฏิบัติ นั่นก็คือ เมืองอเล็กซานโดรโปลิส ซึ่งเป็นเมืองของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ ซึ่งเป็น
ฉายาหนึ่งที่กลายเป็นชื่อของผม พ่อภูมิใจที่ผมชนะชนเผ่าเมดี้มากจนแต่งตั้งผมเป็นนายพลประจำกองพัพ
ในทันที ตอนนั้นผมอายุย่าง 18 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น