วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 7 การอุทิศชีวิตและการให้อภัย


ตอนที่ 7 การอุทิศชีวิตและการให้อภัย

ในช่วง 2 ปี แรกของการเกิดใหม่เป็นครั้งที่สองบนโลก โจแอ็บและเจเรไม่ยังอยู่กับผมตลอดเวลา แม้ว่าผมจะ
เริ่มหัดพูดหัดเดิน ทั้งสองก็ยังอยู่เคียงข้างผม แล้ววันหนึ่งก็มาถึงเมื่อร่างอันเป็นที่รักของพวกเขาได้จางหายไป
เป็นรูปแบบการสนทนาแบบมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และผมก็ไม่เป็นพวกเขาอีกเลย

ความทุกข์ยากลำบากของผมเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อผมยังไม่ทันได้รู้จักคิดเลย ชาตินี้ผมเกิดในเมืองที่สวยงามชื่อ
กลิงคราช ตั้งอยู่บริเวณอ่าวเบงกอลในดินแดนที่วิเศษมหัศจรรย์และลึกลับ ที่รู้จักกันดีคือประเทศอินเดีย ตอนที่
ผมเกิดมาประเทศอินเดียมีการปกครองในระบอบวรรณะและนี่ก็เพื่อชดใช้ความหยิ่งทะนงของผมในชาติที่แล้ว
นับเป็นโชคชะตาที่แสนเศร้าสลดที่ผมเกิดในวรรณะที่ 5 อันเป็นชนชั้นต่ำที่สุดซึ่งก็คือ วรรณะจัณฑาล ที่น่า
รังเกียจเป็นชนชั้นที่ไม่ควรสัมผัสจับเนื้อต้องตัว ผมมีชื่อว่า จันทร์


พ่อแม่และผมอาศัยในกระท่อมโกโรโกโสมีห้องเล็กๆ แค่ 2 ห้อง ห้องด้านหน้าใช้เป็นห้องครัวที่กินข้าวและมุม
นั้งเล่น ในขณะที่ด้านหลังใช้เป็นห้องนอน พื้นของบ้นทำด้วยดินแข็ง แม่ที่น่าสมเพชของผมกำลังหุงหาอาหารที่
มีเพียงน้อยนิดซึ่งพ่อหามาได้จากการทำนารับจ้างอะไรก็ตามจากชาวนาที่อยู่ใกล้ๆ ชาวนาผู้นี้อยู่ในวรรณะศูทร
ซึ่งเป็นวรรณะที่อยู่สูงกว่าวรรณะผมเพียงลำดับเดียว และแทบจะถูกดูหมิ่นดูแคลนพอๆกัน แต่เขาก็มีความสุขที่
ดูหมิ่นถากถางพ่อของผมทุกครั้งที่มีโอกาส เขาให้พ่อทำงานพื้นๆ อย่างเช่น ทำความสะอาดบ่อส้วมซึมหรือไม่ก็
จักรเย็บผ้า ค่าจ้างที่พ่อได้รับจากากรเป็นคนใช้นั้นเป็นเงินน้อยมาก จนเราจะหาอะไรมากินไม่ได้เลย


อีกเพียงไม่นานหลังจากผมถือกำเนิดขึ้นมา น้องสาวที่ชื่อ อายิดา ก็ได้คลอดตามออกมา และในปีต่อมา นาร์ด้า
ก็คลอดตามมา และสองปีต่อมา คัดมาร์ ก็ได้คลอดออกมาอีก แค่บ้านเรามีคนแค่ 3 คนก็แทบจะอดตายอยู่แล้ว
แต่เมื่อน้องสาวคลอดออกมาอีกก็ยิ่งทำให้ความเป็นอยู่ย่ำแย่ลงมากทีเดียว เมื่อน้องชายที่ชื่อ ปาร์ซิส คุปตะ และ
กนิชะ ได้คลอดออกมา ผมเลยจำต้องออกไปขอทานตามข้างถนนเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ผมอายุยังไม่ถึง 9 ขวบ
เลยตอนเริ่มขอทาน แต่เนื่องจากผมอยู่ในสภาพสังคมอดอยาก เลยทำให้ผมดูเด็กกว่าปกติ เนื้อหนังของผมแทบ
จะหุ้มกระดูก ผ้าขี้ริ้วใช้ทำเป็นเสื้อผ้าเท่านั้น สักพักพวกผู้หญิงฐานะดีในเมืองจะสมเพชต่อเด็กอายุขนาดผม และ
อาจจะโยนเศษขนมอยู่ห่างๆ ตราบใดที่ผมไม่เดินเข้าไปใกล้พวกเขา เนื่องจากผมตกอยู่ในสภาพที่ผู้คนรังเกียจ
ไม่อยากแตะสัมผัส การแตะต้องแค่ปลายนิ้ว ทำให้เขาขยะแขยงแล้ว นี่คือความเชื่อของประเทศอินเดียในเวลานั้น


การบริจาคของหญิงฐานะดีเหล่านี้ไม่ได้มีบ่อยนัก และสิ่งที่โยนมาเป็นประจำคือก้อนหิน คำด่าสาปแช่ง และถ่ม
น้ำลาย ไม่มีใครต้องการให้พวกจันฑาลอยู่ปะปน ผมกลับบ้านด้วยรอยปูดปวมและรอยน้ำลายทุกวัน แม่ที่น่าสง
สารของผมร้องให้เสียใจ เมื่อเห็นสภาพของผม ทั้งๆ ที่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมต้องออกไปอีกครั้ง และหวังว่าท่ามกลางการ
ถูกข่มเหงรังแก ผมน่าจะพบกับความเห็นอกเห็นใจบ้าง


ความหิวโหยและการตรากตรำทำงานหนักได้คร่าชีวิตของพ่อที่ป่วยเป็นโครจากความทรุดโทรมของร่างกาย
ไป เมื่อผมมีอายุยังไม่ถึง 15 ปี แม่ต่อสู้กับโรคร้ายเดียวกันกับพ่อไม่ใหว แต่แม่ก็รู้สึกกลัวโดยอดคิดไม่ได้ถึงสิ่ง
ที่จะเกิดขึ้นกับลูกๆ ที่ยังเล็ก หากเธอตายไปอีกคน น้องชายคนสุดท้องอายุยังไม่ถึง 2 ขวบเลย


ผมรู้ว่าผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเพียงคนเดียวของครอบครัวที่มีความรู้สึกนึกคิด และใช้สติปัญญาตามปกติ และผม
มักจะหาทางนำอาหารกลับบ้าน หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้เรียนรู้กลอุบายอย่างฉลาดจากขอทานคนหนึ่งที่อยู่ใน
วรรณะเดียวกัน พวกเราจะไปที่แผงร้างแห่งหนึ่งในตลาดหลายๆ แห่ง และจะจับต้องอาหารและผักที่วางขายใน
ตลาด การจับต้องอาหารทำให้อาหารนั้นกินไม่ได้อีกต่อไป เพราะถูกทำให้สกปรกโดยพวกจันฑาล และเจ้าของ
ร้านจะขว้างอาหารออกไปที่ข้างถนน ซึ่งพวกเราจะพากันไปเก็บอาหารสิ่งนี้ได้ผลและก็เกิดบ่อยมากจนเจ้าของ
ร้านต้องจ้างยามมายืนข้างๆสินค้า หรือเก็บไว้ข้างในร้านที่พวกขอทานหยิบจับไม่ถึง ผมต้องออกไปข้างนอกอีก
ครั้งเพื่อหาอาหาร ความหิวก็มาเยือนครอบครัวเราอีกครั้ง


วันหนึ่งขณะที่ผมเดินไปรอบเมือง ผมรู้สึกว่าตัวเองได้เดินมาไกลกว่าบริเวณที่เคยเดินขอทานตามปกติ และเดิน
เข้าไปใกล้พระราชวังหลวง ซึ่งผมมองเห็นอยู่ลิบๆ ผมระวังตัวไม่ให้ยามที่เดินลาดตะเวนบริเวณข้างล่างจับตัว
ได้ ผมเดินรอบๆ กำแพงปูนปั้นที่ละเอียดประณีต โดยล้อมรอบพระราชวังที่หรูไว้ ผมแอบมองสวนสวยมหัศจรรย์
ที่สามารถเห็นได้จากช่องเล็กๆ ที่กำแพงด้วยความตกตะลึง ผมไม่รอช้าที่คิดซ้ำอีกครั้ง ผมได้ปีนกำแพงเข้าไป
และรู้ว่าตัวเองอยู่ในสวนพระราชวัง


ขณะที่เดินซุ่มอยู่หลังสุมทุมพุ่มไม้ของดอกมะลิที่หอมหวน ผมได้เดินไปรอบๆ สวน ผมไม่เคยเดินเตร่ไปใกล้
มากว่าที่เคยเดินยกเว้นหากผมต้องหนีหัวซุกหัวซุน ชั่วครู่เดียวผมก็ได้กลิ่นอาหารที่หอมตะลบมาจากด้านหนึ่ง
ของตึก ผมเลยไม่ทันระวังตัวเดินตามกลิ่นไปจนกระทั่งมาถึงประตูครัวหลวง ผมรู้สึกหิวจนแทบจะเป็นลมผม
ยื่นมือไปผลักประตูและประจัญหน้าอย่างจังกับชายร่างยักษ์ตัวสูงและมีหนวดครึ้มสีเทา


ภาพของชายที่น่ากลัวคนนี้ทำให้ผมหมดแรงแทบจะยืนไม่อยู่ด้วยความตกใจกลัวและผมก็ต้องอยู่ที่นี่่ ถ้าเขาได้
ใช้มือขนาดยักษ์จับกระชากคอผมและดึงผมเข้าไปในตึก เมื่อผมฟื้นจาการหมดสติผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในโรงครัว
ที่มีอาหารมากมายกว่าที่เคยเจอผู้ชายที่ลากตัวผมเข้าไปแนะนำตัวเองว่าชื่อ สิทธัตถะ มีหน้าที่เป็นพ่อครัวในราช
สำนัก เขาบอกผมว่า ความบ้าบิ่นของผมจะทำให้ผมได้รับบทเรียนราคาแพงถ้ายามในวังพบตัวผมเข้า เมื่อผม
ถามพ่อครัวว่าเป็นวรรณะใด เขาอยู่ในวรรณะแพศย์หรือวรรณะลำดับที่ 3 นั่นเอง แต่ระบบแบ่งแยกวรรณะไม่
ได้จำเป็นต่อเขาเลยเพราะเขาเลิกนับถือศาสนาฮินดูไปปนับถือศาสนาพุทธ


เขาบอกว่า "มีแต่เพียงศาสนาฮินดูเท่านั้นที่ยึดถือเรื่องระบบวรรณะ ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้สถาปนาศาสนาใหม่นี้ขึ้น"

"ศาสนาอะไรหรือ ที่ไม่สนใจระบบวรรณะ และทำให้พวกจัณฑทาลและวรรณะแพศย์เสมอภาคกัน"
เขาตอบว่า "ศาสนาพุทธ จะบอกว่า มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันและไม่มีใครสูงไปกว่าใคร"

ผมถามอย่างไม่เชื่อนักว่า "ไม่เว้นแม้แต่วรรณะพราหมณะเลยหรือ"

สหายใหม่นี้ทำให้ผมมั่นใจโดยการยิ้มตอบว่า "ไม่เว้นแม้แต่พวกพราหมณ์"

จากที่เราได้คุยกัน เขาอธิบายว่า พระพุุทธเจ้าเคยเป็นเจ้าชายและชื่อจริงของท่นคือ สิทธัตถะโคตมะ เจ้าชาย
พระองค์นี้ได้ละทิ้งพระราชวัง พระชายา และพระกุมาร เพื่อแสวงหาสัจธรรมที่แท้จริงโดยพระองค์พบขณะนั่ง
ใต้ต้นโพธิ์จากการตรัสรู้ พระองค์ได้ทรงค้นพบว่า ปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงเกิดจากความตะหนี่ ความอิจฉา
ริษยา และความเห็นแก่ตัว นับตั้งแต่นั้นมาพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความ
เสมอภาคกันและสัจธรรม พุทธเจ้าทรงตรัสว่า การที่เราจะมีความสุขนั้น มนุษย์ต้องลืมความเป็นอัตตา และการ
มีชีวิตเพื่อรับใช้คนอื่น มีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่วิญญาณของเราประสบกับความสงบสุขอันปีติ และความ
สุขเรียกว่า นิพพาน หากไม่เข้าถึงนิพพานชาติหน้าก็คงเป็นชาติหน้าเพราะพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า วิญญาณ
ทุกดวงจะสัญจรผ่านวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด ในขณะที่พวกวิญญาณกำลังค้นหาการชำระบาป และได้พบ
กับการเสวยสุขในนิพพานในบั้นปลาย


ผมได้ยินคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกจากปากของสิทธัตถะ สะท้อนให้นึกถึงคำสอนที่ได้ลืมไปนาน
มากแล้วผมรู้สึกว่าผมเคยได้ยินบางสิ่งที่คล้ายๆ กันนี้เมื่อตอนยังเป็นเด็ก แต่จำไม่ได้ว่าที่ใหน หรือใครเล่าให้ฟัง
เสียงของโจแอบและเจเรไมได้หายไปนานแล้วจากความทรงจำของผม


สภาพที่น่าใาเพชเวทนาที่ผมเป็นพวกจันฑาล และสภาพสิ้นหวังของครอบครัว ทำให้สิทธัตถะเอาของกินที่ผมไม่
เคยลิ้มสองใส่เต็มถุง และชวนให้ผมมาอีกในวันรุ่งขึ้น แต่เขาเตือนว่าอย่ามาที่โรงครัวให้มาอีกด้านหนึ่งแทน ซึ่ง
เป็นที่ๆ เขาจะคอยผมโดยจะนำอาหารถุงใหม่มาให้ เมื่อผมมาถึงบ้านโดยมีอาหารอร่อยติดไม่ติดมือมาด้วย ซึ่ง
เป็นของโปรดที่เราไม่คิดว่าจะได้กินมาก่อน คนในบ้านนั่งใกล้อาหารอย่างตื่นเต้น นานมาแล้วที่คนในบ้านไม่
เคยกินอาหารดีๆจนการกินอาหารครั้งนี้เป็นเหมือนสิ่งที่อยู่นอกความฝัน


ในวันต่อมาผมได้มายังที่ๆ สิทธัตถะได้นัดแนะไว้อย่างกระตือรือร้น หลังจากที่ผมคอยสิทธัตถะเพียงครู่เดียว เขา
ก็หอบถุงมากมายและของกินอร่อย ทุกชนิด เมื่อได้กล่าวทักทายอย่างรักใคร่แล้ว เรานั่งกินอร่อยๆ ทุกชนิด เรา
นั่งลงข้างริมน้ำ แล้วสิทธัตถะก็เล่าสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาได้เล่ามาแล้วตั้งแต่วันแรก


การพบปะกันทุกวันที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายเดือน และผมมักจะได้อาหารที่หล่อเลี้ยงทั้งกายและใจ ในแต่ละวัน
ผมได้ซึมซับคำสอนที่ดีงามของพระพุทธเจ้าได้มากขึ้นและะเริ่มยอมรับในเรื่องความเป็นหนึ่งเดี่ยวกันของมนุษย์
และเรื่องความจำเป็นที่ต้องเสียสละเพื่อผู้อื่นสภาพที่เป็นพวกจันฑาลไม่ได้ทำให้รู้สึดเดือดเนื้อร้อนใจอีกต่อไป
เพราะผมรู้ว่าเป็นเพียงกรรมส่วนหนึ่งของผมเท่านั้น และเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบจิตใจที่ต้องยอมรับไว้
โดยเป็นบทเรียนที่ผมต้องเรียนรู้ชีวิตในภพปัจจุบัน ในที่สุดจะผ่านไปและน่าจะมีภพอื่นๆในช่วงที่ผมต้องชดใช้
ทั้งความทุกข์เข็ญและการกระทำความดี


ผมสามารถซื้ออาหารดีๆ กินและยารักษาโรคด้วยเงินที่สิทธัตถะให้มา ซึ่งทำให้ผมคลายกังวลเรื่องการเจ็บป่วย
ของแม่ได้เป็นอย่างมาก และทำให้น้องชายและน้องสาวมีสีหน้าที่แจ่มใสอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่คง
ทนถาวร และมีบางสิ่งบางอย่างในใจผมได้บอกว่า เหตุกาณ์ที่กำลังดีอยู่นี้กำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้านี้ ผมไม่รู้ว่า
ตัวเองทราบสิ่งนี้ได้อย่างไร บ่อยครั้งที่ผมตื่นกลางดึก เหงื่อท่วมตัวเปียกโชกและรู้สึกใจหาย ผมรู้ว่ามีเหตุการณ์
บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ผมจึงเริ่มเก็บตุนอาหารเหมือนกระรอกอาหารที่ผมได้มาจากสิทธัตถะทุกวันนั้น ผม
แบ่งอาหารเป็นส่วนๆอย่างพอเหมาะสมโดยซ่อนไว้ในตู้กับข้าว แม่ของผมยิ้มในความคิดห่วงใยและบอกผม
ว่าผมระแวงเกินไป แต่ในบางครั้งผมก็มองเห็นแม่จ้องอย่างวิตกกังวลโดยแสดงออกจากใบหน้าที่ซูบผอมของแม่


ในที่สุดวันที่ผมกลัวก็มาถึง ซึ่งผมรู้ว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดผมรู้สึกถึงความปลอดภัยโดยได้รับความช่วยเหลือ
จากเพื่อนที่ซื่อสัตย์นั้นได้ถูกทำลายโดยการทำลายที่ป่าเถื่อน สาเหตุที่ว่านี้เกิดจากการบุกรุกเมืองกลิงคราชของ
พระเจ้าอโศกมหาราช จักรพรรดิชนเผ่าโมรยันที่ได้ครอบครองอินเดียเมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา

การบุกรุกโจมตีเมืองกลิงคราชนั้นโหดร้ายรนแรงมาก เหลือเพียงแต่ซากร้ายภายในไม่กี่ชั่วโมง ครอบครัวผม
ต้องกอดคุดคู้ด้วยความกลัวอยู่ในกระท่อม ขณะที่เพื่อนบ้านที่ตกในสภาพแย่กว่าได้กรีดร้องเสียงดังอยู่รอบๆ
ครอบครัวเรา นั่งเป็นครั้งแรกที่ชีวิตผมดีใจที่ได้เกิดมาเป็นจัณฑาล ในขณะที่ผู้บุกรุกรานล้วนอยู่ในวรรณะสูง
กว่า ไม่ได้ทำลายบริเวณที่พวกจัณฑาลอยู่


ผมมองการณ์ไกลที่ได้เก็บตุนอาหารไว้ โดยคิดถึงตอนเกิดภัยพิบัติ สิ่งนี้ทำให้เรารอดชีวิตในช่วงเวลาที่ยาก
ลำบากช่วงแรกๆ เมื่อสิ้นสัปดาห์แรก อาหารของเราก็เริ่มร่อยหรอลงไป ผมมีความหวังว่าจะยังคงมีพระราชวัง
และมีสิทธัถะเป็นพ่อครัวในวังอยู่ คราวนี้ผมได้พาน้องชายชื่อ พาร์สิส ไปด้วยตามที่แม่แนะนำ โดยน้องชายมี
อายุยังไม่ถึง 6 ขวบ แต่เป็นเด็กฉลากและจดจำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้ดีเหมือนกับผม รวมทั้งเรื่องอื่นๆ
พาร์สิสไม่รู้ว่าอินเดียมีระบบวรรณะเพราะผมได้สาบานที่จะช่วยให้น้องคนนี้ รวมทั้งน้องชายน้องสาวคนอื่นๆ
รอดพ้นจากบาปมลทินจากต้นกำเหนิด โดยใช้ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อออกจากบ้านซึ่งเป็นสิ่งที่แย่กว่าที่คาดคิดจากที่กลิงคราชเคยเป็นเมืองที่สวยงาม ตอนนี้ไม่มี
อะไรเหลือเลยนอกจากเศษขี้เถ้าและซากปรักหักพัง ผมและน้องชายได้เดินผ่านตัวเมือง เราพบเห็นความพินาศ
ที่เป็นผลมาจากภัยสงครามไม่ว่าจะเป็นศพถูกไฟเผาไหม้จนเกรียม เด็กหลงทางร้องไห้โฮหาแม่ส่วนแม่ก็โกลา
หลหาลูกอย่างสิ้นหวัง ความหิว ความหวาดกลัวกาฬโรคและความตาย ส้วนประดังประเดถาโถมความรู้สึกพร้อมๆกัน


ผมรู้สึกสยดสยองต่อภาพที่เห็น ผมเลยตัดสินใจเดินตรงไปยังพระราชวังโดยหวังจะได้พบกับสิทธัตถะอีก เมื่อเดิน
เข้าไปข้างใน เราสองคนไม่เห็นร่องรอยของผู้บุกรุกเลย และเริ่มจะมีความหวังว่าพวกข้าศึกคงจะทิ้งเมืองร้างนี้
ไว้ แล้วผมได้มองไปที่กำแพงพระราชวังและกองทหารติดอาวุธที่ยืนล้อมรอบกำแพง ผมรู้ทันทีว่าพวกทหาร
เหล่านี้เป็นกองทัพของพระเจ้าอโศก เพราะเครื่องแบบแตกต่างจากยามในพระราชวัง


ผมวาดเท้าเข้าไปใกล้เหล่าทหารทีละเล็กทีละน้อย พาร์สิสน้องชายผมจับเสื้อผมไว้ เรามั่นใจว่าเด็กอายุขนาดเรา
จะต้องป้องกันให้เราแคล้วคลาดจากความรุนแรงได้ และหวังไปเองว่า สภาพที่เราเป็นจัณฑาลจะทำให้มีคนบริจาค
ทานให้ เมื่อผมมาถึงระยะห่างพอสมควรจากพระราชวังผมเห็นชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าประตูสวนสวมเสื้อคลุมปักดิ้นทอง


ผมกระซิบกับน้องชายว่า "นั่นคงเป็นพระเจ้าอโศกแน่เลยผมแน่ใจว่าพระองค์ต้องตัดสินใจยึดครองพระราชวัง
เป็นแน่ นี้คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำให้พระองค์ถึงไม่ทำลายพระราชวังแห่งนี้"


พาร์สิสถามผมว่า "พี่คิดว่าสิทธัตถะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า"
ผมตอบอย่างเศร้าๆ ว่า "พี่ก็ไม่รู้ แต่สงสัยอยู่เหมือนกัน ผมไม่คิดว่าพระเจ้าอโศกจะปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดไปได้"
พาร์สิสกล่าวต่อไปว่า "พระเจ้าอโศกต้องมีอำนาจมากๆ เลยน้องไม่เคยเห็นเสื้อผ้าแบบนี้มาก่อนเลย พี่จันทร์คิดว่าพระองค์จะบริจาคทานแก่เราหรือเปล่า ถ้าเราเข้าไปหาพระองค์"


ผมส่ายศรีษะโดยรู้ว่าพวกจัณฑาลไม่อาจเข้าไปใกล้กลุ่มคนในวรรณะสูงสุดของพวกพราหมณ์ได้ซึ่งอาจมีโทษ
ถึงตาย แต่ตัวพาร์สิสเองไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องวรรณะ โดยแทบจะไม่รู้เลยว่าเรานั้นเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ
มากที่สุดในอินเดีย


ทันไดนั้นพาร์สิสก็พูดขึ้นว่า "ผมจะไปขอรับบริจาคทายจากพระเจ้าอโศก ผมแน่ใจนะพี่ว่าเขาจะไม่ปฏิเสธเรา"

ก่อนที่ผมจะห้ามพาร์สิสได้ทันนั้น เขาวิ่งผละออกจากเสื้อผมไปและวิ่งตรงไปยังแถวกองทหารที่อารักขาอยู่รอบๆ พระเจ้าอโศก
ผมร้องตกใจกลัวว่า "อย่าไป พาร์สิส รอก่อน" ผมรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ใดรอคอยอยู่หากน้องชายเข้าไปใกล้กับ
พระเจ้าอโศกแต่พาร์ลิสไม่สนใจเสียงเรียกของผม และยังวิ่งต่อไปยังพระเจ้าอโศกผมวิ่งตามน้องไปย่างสิ้นหวัง
แต่เมื่อวิ่งไปถึงตัวน้องชาย ความกลัวอย่างสุดขีดก็ได้เกิดขึ้น

น้องชายผมบริสุทธิ์ไร้เดียงสาต่อการฆ่าล้างที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเขาที่ได้เข้าไปหากษัตริย์รุกรานผู้ยิ่งใหญ่ และ
ยื่นมือเล็กๆไปจับชายเสื้อของพระเจ้าอโศก แล้วนำมาสัมผัสที่ปาก ทันใดนั้น ผมก็วิ่งมาถึงตัวน้องพอดี แล้วทุก
สิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนในฝัน พระเจ้าอโศกหันมามองที่พวกเราด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทหารอารักขาพระองค์
ไม่อาจยับยั้งน้องผมได้ ซึ่งการกระทำของน้องผมทำให้เหล่าทหารตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกทหารถอดดาบ
ออกจากฝักแต่ไม่ได้ใช้มัน พวกทหารต่างขยะแขยงและโมโห เมื่อนึกถึงพวกวรรณะจัณฑาลได้จูบประทับบน
ชุดพระมหากษัตริย์ พวกเขาเลยถอยกรูอย่างตกตะลึงและรอดูปฏิกิริยาของพระเจ้าอโศก


พระเจ้าอโศกโกรธจนตาลุกเป็นไฟ
พระองค์ตะคอกว่า "ไอ้สัตว์ชั้นต่ำ" พร้อมชักดาบที่มีประกายวาววับออกมาจากฝักดาบสีทองช้าๆ แล้วพูดต่อว่า
"มึงกล้าดียังไงถึงเอามือชั่วช้า มาสัมผัสแตะต้องตัวข้า เพราะมึงแท้ๆ ที่ทำให้ข้าต้องต่ำทรามเหมือนมึงและมึง
ต้องชดใช้ความชั่วก่อนที่จะสัมผัสคนอื่นๆในวรรณะเดียวกับข้าอีก เตรียมตัวตายซะเถอะ"


ก่อนที่ดาบจะฟันตัดคอน้องชายผม ผมได้ก้าวเอาตัวขวางหน้าตัวน้องไว้

ผมโอดครวญอย่างสิ้นหวังว่า "ได้โปรดเถอะพระเจ้าข้า! น้องชายผมไม่ได้ผิดเลย ผมต่างหากที่ไปแตะต้องตัว
พระองค์ เปล่าใช่น้องชายข้าพเจ้าเลย"


พระเจ้าอโศกถือดาบในมือและจ้องมองอย่างโกรธเคืองมาที่ผม

พระเจ้าอโศกตะคอกใส่ว่า "นั้นมึงก็ยอมรับต่อการกระทำของมึงนะสี ทำไม่มึถึงกล้าทำเช่นนี้ได้หือ รู้มั้ยว่าข้าอยู่ในวรรณะพราหมณ์"
ผมร้องคร่ำครวญว่า "เนื่องจากผมหิวมาก ผมถึงอยากขอรับบริจาคทาน ผมเลยลืมเรื่องวรรณะของท่าน"
พระเจ้าอโศกแผดเสียงขึ้นมาว่า "ข้าแน่ใจว่ามึงจะจำสิ่งนี้ได้แม่นยำในภาพภาหต้า ยี่นมือของมึงออกมาซิ"
ผมยื่นมือออกไปสั้นด้วยความกลัว

ดาบได้ฟันฉับเหมือนแสงพระจันทร์สีเงินวาบหนึ่งลงบนแขนของผม แล้วเลือดได้ใหลทะลักนองมือที่ยื่นออกไป
เมื่อครู่นี้ ขณะที่ผมตกอยู่ในภวังค์ไม่รู้สึกตัว ผมได้ยินน้องผมกรีดร้องดังออกมาจากลำคอ


พาร์สิสกรีดร้องตัวสั่นสะอื้นไห้แล้วพูดว่า "ผมเองครับพระองค์ผมเองที่ทำ ไม่ใช่พี่ชายผมเลยที่ทำผมเองต่างหาก
โปรดตัดแขนผมด้วยเถิด" 
ว่าแล้วพาร์ลสิสก็ยื่นแขนอันน้อยนิดไปข้างหน้าพระเจ้าอโศกเพื่อตัดเสีย

พระเจ้าอโศกจ้องมาที่พวกเราครู่หนึ่งและพระพักตร์พระองค์ก็ถอดสี

พระองค์กล่าวว่า "เป็นความจริงหรือที่มึงไม่ได้แตะต้องตัวข้า"

ผมล้มลงคุกเข่าด้วยขาทั้งสองข้าง แขนของผมชาไปหมดตั้งแต่ข้อศอกลงไป ผมไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่การเสียเลือด
และสภาพที่ขาดอาหาร ทำให้ตาและใจของผมเริ่มมองไม่เห็น 

ผมกล่าวอย่างไม่ได้สติว่า "ไม่พระองค์ ไม่ใช่กระผม"
"แต่น้องชายผมเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่มีใครเคยสั่งสอนเขาเรื่องความแตกต่างของวรรณะต่างๆ เขารู้แต่เพียงคำสั่ง
สอนของพระพุทธะเจ้าที่ทรงตรัสไว้ว่า มนุษย์เราเท่าเทียมกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไม่น้องผมถึงกล้าแตะต้องพระองค์
เราเป็นพี่น้องกัน มีความรักใคร่ตรึงอยู่ในจิตใจของปุถุชน ให้อภัยเขาด้วยเถิดพระองค์ทรงกรุณาด้วยเถิด"


ผมได้ยินพระเจ้าอโศกสั่งเหล่าทหารในขณะที่ผมเริ่มลืมตาไม่ขึ้น "เอา เร็วเข้า ใครก็ได้ช่วยห้ามเลือดที แล้วพา
ไปหาหมอของข้าด้วย"


แต่ไม่มีใครเชื่อพระองค์เลย ผมยังเป็นจัณฑาล และไม่มีใครใรวรรณะชั้นสูงจะเข้ามาใกล้ ปล่อยให้ความอ้างว้างช่วยชีวิตผม
พระเจ้าอโศกหันมาพูดกับน้องชายผม
"เอ้า !เจ้าเด็กน้อย มาช่วยฉันที" พระเจ้าอโศกใช้ดาบที่เปื้อนคราบเลือดตัดชุดที่ทำจากผ้าสินินออกเป็นเส้น และ
พาร์สิสก็ช่วยรัดผ้าอย่างแน่นรอบๆ แขนที่ถูกตัดซึ่งมีเลือดใหลตรงส่วนปลาย เมื่อพระเจ้าอโศกได้ช่วยทำแผล
พระองค์คุกเข่าข้างร่างของผมที่นอนอยู่ และยกศรีษะไว้ในอ้อมแขนของพระองค์ต่อหน้าต่อตาที่แทบไม่น่าเชื่อ
ของเหล่าทหารของพระองค์


พระองค์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ยกโทษให้ขข้าด้วย ยกโทษข้าเถอะ จริงแล้วๆ เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง
แต่เจ้าได้สอนคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องไม่ให้เป็นแก่ตัว"


ผมตอบว่า "พระองค์ต่างหากที่ต้องให้อภัยแก่ผม ในชาติก่อนผมอคติต่อพระองค์อย่างมาก และได้เข่นฆ่าชีวิต
พระองค์ ตอนนี้ผมอยู่ที่หนทางแห่งอมตะ ผมจังจำได้โดยตลอด ขอให้พระองค์อย่างเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เป็นเรื่องของกรรมที่เราแแต่ละคนต้องชดใช้ ผมขอเพียงพระองค์สัญญากับผมว่าจะดูแแลมารดาของผมและ
พี่น้องทั้งหมด"


พระเจ้าอโศกตรัสว่า "ข้าสัญญา จงไปสู่สุติเถิด"
นี่คือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินในชาติที่สองทีเกิดมาบนโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น