วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 8 เวอร์ดิกริส

ตอนที่ 8 เวอร์ดิกริส

จันทร์ได้รับความเจ็บปวดและรู้แจ้งเห็นจริงมากที่สุดกว่าทุกชาติ ซึ่งเป็นไปตามที่ทูตวิญญาณได้ทำนายไว้ ผม
รู้สึกถึงจิตวิญญาณที่กระจ่างแจ้ง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในการวิวัฒนาการท่ามกลางซากปรักหักพังของกรุง
กลิงคราช ผมนอนราบโดยหนุนศรีษะไว้ในอ้อมแขนของพระเจ้าอโศก ผมรู้สึกว่าวิญญาณได้เคลื่อนออกจากร่าง
พร้อมๆ กับเลือดที่ไหลท่วมเหมือนแม่น้ำที่ไหลออกจากบาดแผลที่แขนและเวลานั้นเอง ผมก็ได้เห็นภพชาติ
ก่อนๆ ปรากฏต่อสายตา ทำให้รู้แจ้งในการรับรู้ด้วยแสงแห่งพระเจ้าผมจึงจำได้ชัดเจนถึงตอนที่ผมเป็นพระเจ้า
อเล็กซานเดอร์แห่งมาซีโดเนีย และการกระทำชั่วร้ายที่ผมเคยทำลงไป ซึ่งลงโทษให้ผมได้รับกรรมด้วยการมี
ชีวิตที่ลำบากแสนสาหัสในตอนที่เป็นจันทร์ ในช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดรวดร้าวนั้น ผมได้เห็นพระเจ้าอโศกใน
ขณะที่เขายังมีชีวิตในชาติที่แล้วนั้นเป็นพาร์เมนิโอ ซึ่งผมสั่งให้ฆ่าเขาอย่างโหดร้าย ผมได้ลสะชีวิตเพื่อพาร์สิส
น้องชายและผมจำได้ว่าชาติที่แล้วเขาเป็นเพื่อนรักของผมก็คือ ไคลทุส ซึ่งได้ฆ่าเขาตายตอนเมาขาดสติ


เมื่อผมตื่นขึ้นมา ผมจำได้ถึงครั้งแรกที่ผมกลับชาติมาเกิดว่าผมได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายอย่างลุล่วง
แล้ว ผมรู้สึกถึงความสงบสุขและสุขใจ เมื่อผมรู้ว่าผมพัฒนาการคันหาเวอร์ดิกริสได้มากยิ่งขึ้น


วิญญาณของผมยอมแพ้ต่อจักรวาล ด้วยความรู้สึกที่มีความสุขในจิตใจ ผมรู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไปยังสถานที่ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจบอกได้ เมื่อผมฟื้นขึ้นมา ผมรู้สึกตัวว่าอยู่ใน
วงกลมโค้งขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยแสงโชติช่วงของรุ้งหลากสีที่แผ่รังสีไกลออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมเห็น
แสงสองดวงคือโจแอ็บและเจเรไมอยู่ตรงกลาง รังสีที่แผ่ไกลออกไปอย่างไร้ขอบเขต วิญญาณของผมซึมซับ
สัมผัสกับความสุขที่มีกลิ่นหอม


ทูตสองคนพูดพร้อมกันว่า "ความสุขที่น่ายินดี คุณชนะสิ่งนี้แล้ว"

ผมตัวสั่นเทิ้มโดยถามไปว่า ทำไม่ผมไม่ได้อยู่ในประตูวิญญาณพวกเขาตอบว่า ในที่สุดพวกเขาก็ได้ทำหน้าที่ที่มี
ต่อผมได้สำเร็จ โดยไม่จำเป็นต้องหน่วงเหนี่ยวสถานที่พักผ่อนอในอดีต ซึ่งเป็นที่วิญญาณจะมีพลังอยู่เพียง
ชั่วคราว และจะไปรอเกิดใหม่


ผมถามไปว่า "แล้ว ณ เวลานี้จะมีอะไรเกิดขึ้น"
เจเรไมตอบว่า "ขณะนี้คุณมีความอดทนอดกลั้นต่อการทดสอบที่ยากลำบากสาหัสที่สุด คุณจะกลับมาเกิดในโลก
อีกครั้งโดยคุณจะได้พบกับเวอร์ดิกริสในที่สุด"


คำพูดนี้ผมได้รอมานานแสนนานซึ่งทำให้ผมมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
และความกลัวบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความกลัวผมรู้สึกมีความสุขที่จะได้มา
รวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับคนรักของผมและรู้สึกกลัวต่อความหายนะครั้งใหม่ ที่จะทำให้การพบกันช้าออกไปอีก


ผมถามขณะที่ตัวเองดีใจจนเนื้อเต้นว่า "เวอร์ดิกริส ผมกำลังจะอยู่กับคุณอีกครั้งหนึ่งแล้วหรือนี่"
คำตอบของเจเรไม่ยิ่งทำให้ผมเกิดความกลัว
เขากล่าวอย่างน่าตกใจว่า
 "การรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวผมไม่ได้พูดถึงการรวมวิญญาณสักหน่อย แค่พูดถึงการพบกันเท่านั้น"
คำพูดนี้ทำให้ผมตกตะลึง แต่ไม่ได้ทำให้คลายกังวลลงไปเลย
ผมเลยถามขึ้นว่า
 "แล้วต่างกันอย่างไรหรือ การรวมวิญญาณไม่ใช่ผลที่ตามมาของการพบกันของเราหรือครับท่าน

เจเรไมตอบว่า "เปล่าเลย ยังไม่ถึงเวลา คุณจะแค่เจอกับเวอร์ดิกริส แต่ยังไม่ได้รวมวิญญาณกัน การรวมวิญญาณ
กับเวอร์ดิกริสอาจจะแยกคุณจากกันชั่วนิรันดร์ แต่การแยกจากกันจะทำให้คุณกลับมารวมวิญญาณของคุณทั้ง
สองคนไปชั่วกัลปาวสานซึ่งก็คือสิ่งที่ได้ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงบนโลก ดังที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น
การนิพพาน สิ่งนี้จะเป็นการเกิดครั้งสุดท้ายขณะนี้ทั้งคุณและเวอร์ดิกริสยังเป็นร่างเดี่ยวกัน ยังขาดการรวม
วิญญาณอยู่ และวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถกลับไปได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ มากที่คุณจะต้องไม่พลาดการ
ทดสอบครั้งนี้ จงจำสิ่งนี้ไว้เสมอ คุณจะต้องเผชิญกับความรับผิดชอบครั้งสำคัญ ถ้าคุณชนะในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
นี้ คุณก็จะพบความสุขอันเป็นนิรันดร์แต่ถ้าคุณเพลี่ยงพล้ำพลาดไป คุณก็จะต้องเริ่มวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่
อีกครั้งตั้งแต่ต้นใหม่"


ผมร้องถามไปโดยมีความรู้สึกกลัวแบบเก่าๆ เกิดขึ้นกับตัวผมอีกครั้งว่า

"ผมไม่เข้าใจ การพลัดพรากจากกันจะนำไปสู่ความเป็นหนึ่งและความเป็นหนึ่งดียวจะทำให้เกิดการพลัดพราก
ได้อย่างไรกัน ผมไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้เลย"


แสงกว่างที่ส่องประกายหมุนรอบทูตวิญญาณได้ริบหรี่ลงทันไดนั้นเปลวรัศมีได้ส่องสว่างรวมกันเป็นสายรู้งหลาก
สี ที่รวมตัวกันเป็นรูปวงกลมอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ ทูตวิญญาณทั้ง 2 คนได้หายวับไปในแสงหลากสีที่โชติช่วง


โจแอ็บตอบเบาๆว่า "อย่ากลัวไปเลย คุณพูดถึงเรื่องเหตุผลอันเป็นความรู้ที่คุณได้มาจากบนโลก ตอนที่คุณเป็น
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์โดยอริสโตเติ้ลเป็นผู้สอนคุณ แต่ความเป็นเหตุเป็นผลนี้ไม่ได้มีอยู่บนโลกมนุษย์หรอก มี
เพียงสิ่งเดียวที่เป็นสัจธรรมแห่งวิญญาณ และสัจธรรมที่ว่านี้ก็คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าที่สร้างคุณมาและต่อ
จากนั้นกลายเป็นที่มาของมวลมนุษย์ คุณต้องชำระบาปจากการสัมผัสสิ่งเหล่านี้ ถ้าคุณสามารถทำสิ่งนี้ได้หลัง
จากการเกิดในชาตินี้ คุณก็จะพบกับความสุขที่สุดโดยเป็นความสุขที่หาได้ยาก ส่วนใหญ่แล้ววิญญาณต้องกลับ
มาเกิดหลายครั้ง ก่อนที่จะเป็นอิสระจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ไปเพื่อทำให้คุณได้รับรู้ประสบการณ์อย่างสมบูรณ์
จึงต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ชายกับหญิง สิ่งนี้คือร่างที่แท้จริง คุณและเวอร์ดิกริสได้ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนจากวิญญาณ
เดียวกัน และคุณทั้ง 2 ก็ถึงเวลาที่จะทำให้วัฏจักรการชำระบาปเสร็จสิ้นแล้ว และกลับไปสู่แสงสว่างแห่งพระเจ้า
แต่พวกคุณต้องยอมรับขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่การชำระบาปจะเสร็จสิ้น พวกคุณต้องเอาชนะสิ่งนี้ด้วยกัน คุณ
สามารถเอาชนะสิ่งนี้ในขณะที่แยกจากกันนี่คือการทดสอบครั้งสุดท้าย"


เจเรไมแทรกขึ้นมาว่า "คุณคงรู้สึกกลัว เมื่อคุณเห็นร่างของเรารวมก้นเป็นแสงสีสายรุ่ง สายรุ้งหมายถึงลำดับ
ของแสง ซึ่งก็คือการหักเหที่ทำให้เกิดสีต่างๆหลายเฉด ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบนโลกโดยเกิดจากการแบ่งสีสัน
จากความเป็นหนึ่งเดียวของแสงแห่งพระเจ้าสิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจึงมีสีปรากฏบนโลกมนุษย์ แสงจาก
พระเจ้าถูกแบ่งออกไป หน้าที่ของคุณในชาติสุดท้ายนี้จะถูกรวมเป็หนึ่งเดียวกับความรู้แจ้ง และจะทำให้เผ่าพันธุ์
มนุษย์มีจิตใจที่สูงส่งขึ้นแต่การที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้นั้น คุณต้องอยู่ห่างจากโลกและเวอร์ดิกริส การรวมวิญญาณ
กับเวอร์ดิกริสในตอนนี้จะก่อให้เกิดการหักเหของแสงในตัวคุณ และจะทำให้พลัดพลัดพรากจากกันของพวกคุณ
ยาวนานยิ่งขึ้น"


ผมถามว่า "ตัวผมอันน้อยนิดนี้ จะนำแสงแห่งพระเจ้าไปสู่มนุษย์ชาติได้อย่างไร"

เจเรไมตอบไปว่า "จงจำคำสอนของพระพุทธเจ้าที่คุณได้เรียนรู้ตอนเป็นจันทร์อยู่"
"จริงด้วยครับ"

โจแอ็บพูดว่า "พระพุทธเจ้าทรงเป็นวิญญาณสูงส่งที่ได้ปฏิบัติธรรมหรือก่อให้เกิดการรวมตัวเป็นหนึ่งครั้งสุด
ท้ายของวิญญาณ ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง หน้าที่ของพระองค์บนโลกมนุษย์ก็คือ การเผยแผ่หลักธรรม เรื่อง
ความรัก การผูกพันฉันท์มิตร ความเมตากรุณาและความโอบอ้อมอารีแก่เพื่อนมนุษย์ คำสอนที่เป็นสากลนี้ไม่
ได้นำมาเผยแผ่เฉพาะบนโลกเท่านั้น แต่นำมาสู่ดวงดาวทุกดวงของกาแล็กซี่ทั้งหมดในจักวาล โดยมาจาก
วิญญาณที่เข้าถึงการตรัสรู้แล้ว วิญญาณดวงที่มีความโชติช่วงและบริสุทธิ์ที่สุดที่นำคำสอนเรื่องความเป็นเอกภาพ
และการรู้แจ้งมาสู่โลกโดยการสละชีพตนเองด้วยความตายที่โศกสลดและอดสู คำสอนมีพลังจนสามารถพิสูจน์
กาลเวลาและทุกสรรพสิ่ง โดยยังคงทำให้มนุษย์ได้รับภูมิปัญญาที่รู้แจ้ง เพื่อให้คำสอนยังคงมีอยู่ต่อไป จึงเป็น
สิ่งจำเป็นที่วิญญาณอื่นๆ จะอยู่บนโลกชั่วคราวเพื่อให้วิญญาณอันสูงส่ง รวมทั้งการส่งสอนเรื่องความรักและการเสียสละ"


ผมถามว่า "นี่คือภาระหน้าที่สุดท้ายของผมบนโลกแล้วใช่ใหม"
โจแอ็บตอบว่า "ก็เพียงแต่คุณต้องการให้เป็นไปเช่นนั้น เราสองคนเคยบอกคุณหลายหนแล้วว่า วิญญาณต้อง
ยอมรับภาระหน้าที่ด้วยความเต็มใจ เจตจำนงเสรีในกฎแห่งจักรวาลที่สำคัญกฎหนึ่ง"


ผมตอบว่า "ผมยอมรับภาระหน้าที่นี้ แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะสามารถต้านทานอำนาจกิเลสตัณหาได้อีกหรือเปล่า
มิฉะนั้นยิ่งจะทำให้การรวมวิญญาณกับเวอร์ดิกริสช้าลงไปอีก"


เจเรไม่ตอบว่า "นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ เราเข้าใจอำนาจของกิเลสตัณหา แต่อย่าประเมินพลังวิญญาณ
และความรักที่มีต่อเวอร์ดิกริสต่ำเกินไป คุณมีความแข็งแกร่งในตัวคุณอยู่แล้ว"


ผมถามด้วยความอยากรู้ว่า "ใครคือวิญญาณสูงสุดที่ผมต้องรับฟังคำสั่งสอนเข้าไว้"

เจเรไมตอบว่า "พระองค์ก็คือพระเยซู"

เพียงชั่วครู่เดียวที่ผมได้รับคำสั่งสอนเหล่านี้ ผมก็รู้ว่าตัวเองได้อยู่บนโลกอีกครั้งหนึ่ง ควาวนี้ไม่มีเสียงของโจแอ็บ
และเจเรไม่มาตามให้คำแนะนำผมอีก ในขณะที่ผมเป็นเด็กทารก และผมก็เติบโตเป็นเด็กธรรมดา โดยลืมคำสอน
ที่ทูตบอกไปจนหมดสิ้น หรือแม้แต่ภาระหน้าที่ที่ผมต้องทำให้ลุล่วงตรงกันข้ามกับชาติก่อน คราวนี้ผมเกิดบนโลก
ที่เพียบพร้อมด้วยทรัพย์ศฤงคาร ผมเกิดในครอบครัวพ่อค้าขายผ้าใหมที่ร่ำรวยในประเทศอิตาลี จากวัยเด็กที่
เติบโตมาจากวัยทารกซึ่งแวดล้อมทุกสิ่งที่ต้องการ ผมเป็นคนใจดีและร่าเริง ผมมีเพื่อนๆ หลายคนคิยติดตามเป็น
สหายไปเที่ยวซุกซนตามประสาเด็ก


แม้ว่าพ่อแม่ผมจะร่ำรวย แต่ผมไม่เคยได้รับการยอมรับจากบุคคลชั้นสูง เพราะฐานะของเราเป็นแค่เพียงพ่อค้า
ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ความต้องการที่จะมีเกียรติในสนามรบนั้นได้ครอบงำจิตใจของผม มันเป็นเหมือนภาพสะท้าน
จางๆ จากที่ผมเป็นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ยังหลอนหลอกในความรู้สึก ความทะยานอยากผลักดันตัวผมให้เข้า
ร่อมกับกองทัพเพื่อป้องกันประเทศชาติต่อการรุกรานของขุนนางจากประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนั้นอยู่ในช่วง
ยุคกลาง และเรื่องการทำสงครามกับเมืองใกล้เคียงต่างๆถือเป็นเรื่องปรกติในชีวิต


การสู้รบครั้งแรกของผมก็ต้องเจอกับความวิบัติเสียแล้วเมืองผมพ่ายแพ้ต่อผู้บุกรุก และผมก็ถูกจับเป็นนักโทษ
เชลยอยู่หลายปีเมื่อถูกปล่อยตัว ผมตัดสินใจเข้าร่วมรบในสงครามอีกครั้งหนึ่ง การรบครั้งนี้เป็นการปกป้อง
พระสันตะปาปาจากศัตรูของพระองค์ และในคืนวันก่อนที่ผมออกรบ ผมได้ฝันแปลกๆ ว่ามีเสียงกระซิบบอกให้
ผมกลับไปบ้านเกิดของผมเสีย


ผมรู้สึกสนใจต่อการฝันครั้งนี้ ผมจึงกลับมาที่บ้าน 2 - 3 วันต่อมา ขณะที่ผมเดินตามถนนอยู่นั้น ผมก็เดินมาถึง
โบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีซากปรักหักพังเสียครึ่งหนึ่ง ผมเดินเข้าไปในโบสถ์ที่มีดอกกุกลาบปกคลุมรกไปหมด
ในความมืดสลัวผมเห็นไม้กางเขนเก่าๆ ตรึงอยู่บนกำแพงด้านหนึ่ง ไม่กางเขนทำให้ผมสนใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าในความจริงไม้กางเขนไม่ได้มีอะไรแปลกพิสดารอะไรเลย เมื่อผมเข้าไปดูใกล้ๆ ตาของพระเยซูที่ไม้
กางเขนก็ได้จ้องมองลึกเข้าไปภายในจิตใจของผม และผมก็ได้ยินเสียงที่ผมรู้ว่าเป็นเสียงของพระเยซูโดยพูดซ้ำๆ
ว่า 
"บ้านของฉันกำลังพังช่วยซ่อมแซมด้วย"

ผมรู้สึกสั่นเทิ้มเหมือนใบไม้ ผมวิ่งออกจากโบสถ์โดยไม่หยุดจนถึงบ้าน คืนนั้นผมเห็นภาพไม้กางเขนในความฝัน
และได้ยินคำพูดเหมือนเดิม ซึ่งผมรู้ว่าเป็นเสียงของพระเยซูว่า 
"บ้านของฉันกำลังพัง ช่วยซ่อมแซมด้วย"

ผมสวดมนต์ว่า "พระเยซูศาสดาของข้าพเจ้า" ถ้าภาพที่ข้าพเจ้าเห็นไม่ได้เกิดจากการสร้างจินตนาการ ขอให้
ข้าพเจ้าได้ล่วงรู้ด้วยเถอะว่า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะรับใช้พระองค์ด้วยความจริงใจถ้าพระองค์ปรารถนาเช่นนั้น"


ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงพระเยซูพูดอีกครั้งหนึ่งเพื่อเร่งเร้าให้ผมบูรณะโบสถ์ ผมมั่นใจว่าข้อความจากใจผม
ผมได้อุทิศเวลาตัวผมเองเพื่อบูรณะโบสถ์ เนื่องจากผมไม่มีเงินพอ ผมเลยเอาผ้าทอลายดอกสีแดงราคาแดงจาก
โรงงานทอผ้านำไปขายในเมืองใกล้ๆ ผมนำเหรียญทองคำถุงหนึ่งมาที่โบสถ์ แล้วนำไปให้เจ้าคณะที่อาศัยอยู่ที่
นั่น แต่พระผู้นี้รู้ว่าผมเป็นบุตรหลานพ่อค้าที่รวยที่สุดคนหนึ่งในเมืองนี้ ท่านจึงปฏิเสธที่จะรับเงิน


ท่านกล่าวว่า ทองคำนี้เป็นของพ่อเจ้า ไม่ได้เป็นเงินของเจ้า เงินจำนวนนี้ไม่สามานำมาใช้บูรณะที่พพำนักของพระเจ้าได้

ผมก้มลงหน้าพูดอย่างละอายว่า "ท่านพูดถูกแล้วครับหลวงพ่อผมไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ผมจะหาหนทางอื่น
เพื่อบูรณะโบสถ์โดยไม่ต้องใช้เงินจากพ่อ"


ผมโยนกระเป๋าสตางค์ไปที่มุมโบสถ์แล้วอาศัยอยู่ในโบสถ์นับตั้งแต่นั้นมา ต่อมาพ่อก็รู้สิ่งที่ผมทำ และลากผม
ออกมาต่อหน้าคณะบาทหลวงและทวงเงินคืน พระเจ้าคณะของเมืองได้รู้สาเหตุที่ผมขายผ้าไปและขอร้องให้ผม
คืนเงินให้แก่พ่อไป ผมรู้สึกสงบโดยไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย ผมได้ยืนขึ้นและหันหน้าไปที่พระเจ้าคณะ


ผมตอบว่า "ถูกแล้วครับท่าน เงินที่ได้จากขายผ้าเป็นเงินของบิดามารดากระผม และพ่อเองก็มีสิทธิที่จะทวงคืน
ไม่ใช่แค่เพียงเงินเท่านั้นที่เป็นของพ่อ แต่รวมถึงเสื้อผ้าที่ผมสวมใส่ด้วยผมเองอยากจะคืนพ่อไปด้วย เพราะว่า
จากวันนี้ไปผมจะนับถือพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระบิดาของผม"


เมื่อผมพูดเสร็จก็ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกจนเหลือแต่กายเปลีอยเปล่าต่อหน้าพ่อและทางคณะบาทหลวง ผมวางเสื้อ
ผ้าและถุงใส่เหรียญไว้ที่เท้าของพ่อ พ่อมีใบหน้าแดงก่ำสั่นเทิ้มด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด ในขณะที่เจ้าขณะบาทหลวง
ได้ห่มชุดคลุมปกปิดร่ายเปล่าเปลือยของผมนั้น


เมื่อผมออกจากเหล่าคณะสงฆ์ คนสวนคนหนึ่งได้ให้ผ้าป่านผืนหนึ่ง ซึ่งผมก็ได้นำไปทำชุดคลุมชั่วคราว โดยทำ
เครื่องหมายเป็นรูปไม้กางเขนเพื่อแสดงการอุทิศตนของผมแก่พระเยซู จากนั้นผมก็ผูกเชือกรอบเอวและใส่
รองเท้าแตะรวมทั้งผ้าคลุมแต่งกายทั้งหมดของผมเมื่อผมนึกถึงความทุกย์ยากของพระเยซู และคำสอนต่อสาวก
สานุศิษย์ที่ออกไปช่วยบริจาคทานแก่ผู้อื่นนั้น ผมได้ยึดถือความยากจนเป็นเสมือนเจ้าสาวที่สวยที่สุด

ผมไม่เคยลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพระเยซูว่าจะบูรณะโบสถ์ผมเริ่มขอรับบริจาคหิน อิฐ และซีเมนต์ เพื่อทำการ
บูรณะเสร็จสิ้น การอุทิศตนทั้งหมดต่อการบูรณะนี้ทำให้ผู้มีจิตศรัทธาที่สนใจได้อุทิศตนเองเพื่อพระเจ้า และใน
ไม่ช้าเราก็เริ่มก่อตั้งคณะมิชชันนารีซึ่งได้อุทิศตนเพื่อความสงบสุขและไม่ตรีจิต จากความร่วมแรงร่วมใจแข็งขัน
ทำงานทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดเราก็ได้สร้างโบสถ์เล็กๆขึ้นมาใหม่ ซึ่งรู้จักกันในปัจจุบันว่า เชิร์ช ออฟ เซนด์ดาเมียน


ช่างเป็นวันที่มีความสุขสำหรับผมที่ได้มอบความรักแก่พระคริสต์และความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้น
กลุ่มคณะมิชชันนารีของเราก็สร้างโบสถ์อื่นๆ ขึ้นมาใหม่ และเริ่มเรียกตนเองว่า บาทหลวงน้อย (Friars Minor)
เพื่อบ่งบอกความสมถะของเราแม้ว่าผมจะเทิดทูนพระเยซูและโบสถ์เป็นอย่างมาก แต่ผมไม่ได้บวชเป็นนักบวช
และเมื่อเดินทางไปโรมกับคณะมิชชันนารี ในปีต่อๆมาเพื่อแสวงหาความรู้จักกับพระสันตะปาปา ผมรู้สึกประหลาด
ใจที่พระองค์ท่านทรงรู้จักพวกเรา


ในที่สุด เมื่อผมกลับมาที่บ้านเกิดเมือง อาซัสซี เจ้าคณะขอร้องให้ผมเทศนา ณ โบสถ์ประจำเมือง ในค่ำวันนั้น
หลังจากที่ผมเทศนาอย่างศรัทธาเกี่ยวกับคุณความของความยากจนและความรักต่อพระเยซู มิชชันนารีร่วมคณะ
คนหนึ่งบอกผมว่า มีลูกสาวขุนนางที่มีอำนาจคนหนึ่งของเมืองต้องการคุยกับผม ผมตกลงที่จะเจอกับเธอเพราะ
ไม่มีสิ่งไดที่จะทำให้ผมพอใจมากไปกว่าได้เผยแผ่คำสอนของระเยซูแก่คนรวย คนมีอำนาจ พร้อมช่วยให้เขา
ตระหนักถึงความไร้ค่าของความร่ำรวยทางโลกียสุข ครู่หนึ่งมิชชันนารีคนนี้ได้กลับมาพร้อมกับสาวงามคนหนึ่ง
อายุไม่เกิน 18 ปี แต่งกายด้วยชุดที่หรูหราตามฐานะ ผมลุกขึ้นต้อนรับและยื่นมือเชื้อเชิญโดยเธอเองได้ยื่นมา
ข้างหน้าผม แต่ไม่ได้จับมือเธอมีแสงเรืองรองออกมาจากตัวเราทั้งสองคน และในทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงสะท้อน
รอบๆ ตัวผมคล้ายเปลวไฟวน


มีเสียงดังขึ้นว่า "เวอร์ดิกริส เวอร์ดิกริส"
ผมยืนต่อหน้าเธอเหมือนรูปปั้นหินอ่อนที่แข็งทื่อเป็นน้ำแข็ง มือของผมยื่นออกไปห่างจากมือเธอไม่กี่นิ้ว
มิชชันนารีคนนี้ก็กระซิบข้างหูผมว่า "บาทหลวงฟรานซิส นี่ คือเลดี้แคลร์ ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น