วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 9 การพลัดพราก


ตอนที่ 9 การพลัดพราก
  • ผมเองไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เมื่อได้เจอกันตัวต่อตัวกับเวอร์ดิกริส ผมจำได้เกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนทั้งหมด รวมทั้งคำสอนของทูตทั้งสอง เมื่อเห็นเวอร์ดิกริสผู้เป็นที่รักปรากฏตัว ทูตทั้ง 2 คนกล่าวว่าการพลัดพรากเป็นสิ่งสำคัญต่อการรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว แต่ผมจะทนต่อการพลัดพรากกับวิญญาณอีกครั้งหนึ่งได้อย่างไรกัน
  • ผมนึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับจักรวาล โดยรู้ว่าร่างของฟรานซิสแห่งอาซัสซี เป็นร่างแฝงที่มีวิญญาณของผมอาศัยอยู่ ร่างของฟรานซิสเป็นร่างชั่วคราวในจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วชีวิตนี้มีความสำคัญอย่างไรกัน ทำไมผมต้องเสียสละการรวมวิญาณกับเวอร์ดิกริสเพื่อชีวิตที่มืดมัวเช่นนี้
  • เวอร์ดิกริสพูดผ่านจากริมฝีปากของแคลร์แห่งอาซัสซีว่า "เป็นเพราะพระเยซูเจ้า" มือที่สั่นยื่นมาจับมือผม แล้วนัยน์ตาดั่งสรวงสวรรค์ก็ได้บอกผมว่าเธอเองก็จำผมได้เช่นกัน มิชชันนารีที่มารู้สึกประหลาดใจต่อคำพูดของเธอจึงถามไปว่า "คุณพูดอะไรนะ คุณผู้หญิง" แคลร์เหลือบตาสีฟ้ามายังผม เธอพูดซ้ำประโยคเดิมว่า "เป็นเพราะพระเยซูเจ้า ฉันจึงต้องมาพบบาทหลวงฟรานซิส ที่ฉันได้อุทิศชีวิตของฉันแก่ความยากไร้และการเสียสละ ก็มาจากพระเยซูเจ้า" มิชชันนารีคนที่มาด้วยมองเธอด้วยความอยากรู้ เขารู้ว่าเธอเห็นลูกสาวคนโตของ ดัชเซส ออฟเฟรดัคซีส์ซึ่งเป็นครอบครัวชั้นสูงและมีอำนาจมากที่สุดตระกูลหนึ่ง แต่ทว่าหญิงงามผู้นี้เป็นสตรีที่งามราวดอกไม้สวยที่สุดแห่งตระกูลออฟเฟรดัคซีส์ ที่ต้องการจะทิ้งความหรูหราเลิศเลอจากบ้านพ่อของเธอ โดยการก้าวสู่บาทวิถีแห่งพระเยซู เขาสังเกตความหรูหราของเสื้อผ้าที่ฉลุลายลูกไม้งามจับตาแล้วถามว่า "แล้วครอบครัวของคุณผู้หญิงว่ายังไงบ้างในเรื่องที่คุณได้ตัดสินใจลงไป"เธอตอบอย่างอ่อนโยน โดยมองมาที่หน้าผมตลอดเวลาว่า "ฉันยังไม่ได้บอกพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยฉันต้องการให้บาทหลาวฟรานซิสช่วยตัดสินชะตาชีวิตของฉัน ฉันกระทำทุกอย่างที่ท่านแนะนำ
  • จิตของผมเริ่มปั่นป่วน ทำไมผมต้องตัดสินใจอะไรที่ยากลกบากเช่นนี้ ทำไม่ความรับผิดชอบที่ยากแสนเข็ญต้องมาตกที่ผมเพียงคนเดียว
  • แคล์ยังกล่าวซ้ำเหมือนเดิมโดยละมือที่จับผม "เป็นเพราะพระเยซูเจ้า"
  • ทันไดนั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนสะดุ้งตื่น ความทรงจำเกี่ยวกับโบสถ์และไม้กางเขนที่มีสายตาจับจ้องและเสียงของพระเยซูที่บอกให้ผมบูรณะโบสถ์นั้นได้เข้ามาโนใจผมอย่างรวดเร็ว
  • การที่ผมต้องมีชีวิตเพื่อการเสียสละและการพลัดพรากจากกันนั้นคงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นการแสดงความรักต่อพระองค์และรำลึกถึงความทรงจำต่อการเสียสละ และคำสอนของท่านที่ว่าผมต้องทนทุกข์กับการพลัดพรากที่แสนขมขื่น หน้าที่ของผมบนโลกนี้ก็คือ ผสมผสานคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระเยซูเข้าด้วยกันคำสอนของตัวผมเองก็คือ มีชีวิตเพื่อความยากไร้และการเสียสละตลอดไป 
  • เฉกเช่นกับชีวิตของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ 2 พระองค์ นับเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องเตือนให้มนุษย์รู้ว่า ทั้งมนุษย์และสัตว์ต่างๆมีความเสมอภาค
  • โดยเห็นว่าจักวาลนั้นคือวิญญาณของเรา แต่โลกมนุษย์ล้วนแต่เป็นภาพลวงตา เพื่อที่จะแสดงให้มนุษย์ชาติเห็นว่าร่างกายของมนุษย์นั้นไม่เที่ยง นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ผมต้องปฏิเสธโลกียสุขทั้งปวง รวมทั้งความรักนตัวเวอร์ดิกริสเพื่อไม่ให้ชาวโลกถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ผมอย่างแสดงให้เห็นมากกว่าว่าร่างกายและสรรพสิ่งใดๆ บนโลกมนุษย์ล้วนแต่อนิจจัง และต้องการบอกว่ามีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่จะอยู่คงทนตราบชั่วนิรันด์ การชำระบาปบนโลกได้ถูกกำหนดไว้อย่างง่ายๆ แต่เป็นคำสอนที่ลึกซึ้ง ผมรู้ถึงความสำคัญในภาระหน้าที่และความจำเป็นที่ผมต้องพลัดพรากจากเวอร์ดิกริส การเสียสละชีวิตบนโลกมนุษย์นั้นมีความหมายอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตอันเป็นนิรันด์ของวิญญาณ
  • ผมมองไปที่แคลร์แห่งอาซัสซีแล้วกล่าวว่า "เพื่อพระเยซูเจ้าถ้าคุณเต็มใจ ผมจะบอกถึงวิธีที่คุณจะรับใช้พระเจ้าและองค์พระเยซู"รอยยิ้มที่ชวนหลงใหลฉายประกายบนใบหน้าที่งดงามของเธอเธอตอบว่า "ดิฉันเต็มใจ" นัยน์ตาของเธอบ่งบอกผมว่า เธอเข้าใจกานตัดสินใจยองผมแล้ว

กลางดึกสงัด แคลร์ได้ออกจากบ้านโดยไม่มีใครรู้ และเตรียมที่จะมาหาผมและเหล่ามิชชันนารีที่โบสถ์ เซิร์ช
ออฟ แองเจิล เธอได้กล่าวสาบานว่า จะรับใช้พระเยซูต่อหน้าแท่นบูชาและเหล่านักบวชทั้งหลาย แล้วเธอก็ได้
เปลี่ยนชุดที่สวยหรูไปเป็นชุดผ้าป่านและรองเท้าแตะ ซึ่งจะเป็นเพียงเครื่องแต่งกายของเธอเท่านั้นเธอไม่เคย
กลับไปหาบิดาที่คฤหาสน์อีกเลย แต่ใช้เวลาที่เหลือในชีวิตกับความยากไร้เพียงอย่างเดียว แต่แคลร์แห่งอาซัสชี
จะเป็นบุคคลที่โลกจดจำเสมอเหมือนเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์สุดที่เคยอาศัยอยูบนดาวเคราะห์ดวงที่ 3 แห่งระบบ
สุริยจักวาล


ในช่วง 15 ปีต่อมา ผมได้นำสายธารแห่งความศรัทธาไปยังทุกหนทุกแแห่งที่ผมไปเยือน คณะมิชชันนารีกลุ่ม
ย่อยได้ขยายแพร่หลายเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่เพราะในดินอันอุดมสมบูรณ์ โดยเผยแพร่ด้วยแนวทางแบบอย่าง
ความรักของพระเยซู และคุณธรรมความดีของชีวิตสมถะที่แพร่หลายไปทั้งทั้ง 4 มุมโลก แม้ว่าเราจะมีกฎบังคับ
สำคัญข้อหนึ่งนั้นก็คือ ปฏิเสธความสุขทางโลก และการขออาหารและความช่วยเหลือนั้น แต่ก็ยังมีชายหนุ่มนับ
พันได้เข้ามาเป็นแนวร่วมจากทุกชนชั้นสังคม


การอุทิศตนให้คำสอนของพระเยซูเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนปีที่เปลี่ยนไป ความสมถะที่สูงส่งและการยอมรับใน
เจตจำนงของพระเจ้า เป็นบทเรียนชีวิตที่มีค่าซึ่งผมได้เรียนรู้ในโลก และไม่ว่าชีวิตบนโลกของเราจะยาวนาน
เพียงใด ชีวิตก็เป็นแค่กรวดทรายหากเปรียบเทียบกับความเป็นอมตะแห่งวิญญาณ นี่คือเหตุผลว่าทำไม่พระเยซู
ทนต่อการยั่วยุที่รุมเร้าเช่นนั้นได้ พระองค์รู้ว่าสิ่งยั่วยุจะเกิดเพียงชั่วชณะ และความเจ็บปวดก็เป็นภาพลวงตาที่
เหมือนกับความสุขความพอใจ พระองค์ทรงควบคุมตัวเองเหนือสิ่งเหล่านี้ได้โดยควบคุมวิถีชีวิตในโลกโลกียสุข
สิ่งปาฏิหารย์ที่พระองค์ทรงกระทำนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะพระองค์เข้าใจในจักรวาลกฏเกณฑ์

ทันทีที่ผมเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ผมได้เก็บตัวเพื่อเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ ผมคิดว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์ โลก
และท้องฟ้าแม่น้ำและท้องทะเล ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงถึงการสรรสร้างของพระเจ้าธรรมชาติเหล่านี้ล้วนเป็นพี่เป็น
น้องของผม เพราะโลกของเราเป็นส่วนหนึ่งของพลังเอกภาพแและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อผมได้คิด
ถึงแนวคิดเรื่องความเป็นเองภาพของจักรวาลนั้น ผมสามารถแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่พระเยซูทรงกระ
ทำเช่นกัน พระองค์ทรงกำหนดวิญญาณของผม โดยมือและเท้าของผมเริ่มมีรอยแผลเป็นจากการที่พระองค์
ได้ถูกทรมารอย่างแสนสาหัส


สำหรับในบรรดามิชชันนารี รอยบาดแผลถือเป็นสัญสักษณ์แห่่งการหลุดพ้นจากบาป แต่ความจริงแล้ว รอยบาด
แผลเหล่านี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเครื่องหมายแสดงตัวผมที่พระเยซูได้ประทานมา


ชีวิตบนโลกมนุษย์ของผมที่ได้เกิดเป็นพรานซิสแห่งอาซัสซีนั้นเป็นชีวิตที่มีความสมบูรณ์ที่สุด เวอร์ดิกริสเป็น
วิญญาณที่อยู่กับตัวผมตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้ร่างกายเราจะแยกออกจากกันก็ตาม


แล้วชีวิตของผมก็คือกาลสิ้นสุดโดยไม่คาดฝันมาก่อน ราวกับลมที่พัดเปลวเทียนดับ ในที่สุดเมื่อผมได้ปลดปล่อย
ความทุกข์ที่เคยแบกไว้ ผมได้กล่าวขอบคุณต่อพระเจ้าสำหรับของขวัญชิ้นสุดท้ายในชีวิตและชีวิตอันเป็นนิรันดร์
ที่ใกล้จะมาถึง ผมขอร้องบรรดามิชชันนารีพาผมไปที่สำนักชีอของแคลร์ ด้วยความสุขที่แสนสงบเมื่อผมและแคลร์
เจอหน้ากัน นัยน์ตาเธอเปล่งประกายสดใส แล้เธอก็กอดผมด้วยความรักอันเป็นนิรันด์ที่ยิ่งใหญ่ วิญญาณของผม
กระซิบว่า "เราชนะแล้ว" เธอเองได้ตอบว่า "แต่องค์พระเยซูเจ้า"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น