วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

พระสุธน-มโนราห์




ตำนาน : พระสุธน-มโนราห์ 

........กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีราชอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งชื่อว่า "ปัญจาลนคร" ปกครองโดยกษัตริย์ผู้ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมทรงพระนามว่า "อาทิตยวงศ์" พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า "จันทาเทวี" 
........ซึ่งต่อมาได้ประสูติพระโอรสพระนามว่า "พระสุธน" เมื่อพระกุมารเจริญวัยขึ้นก็มีความเฉลียวฉลาดและพระรูปโฉมงดงามยากที่จะหาราชกุมารในแว่นแคว้นอื่นเทียบเคียงได้ 
........ครั้งนั้นมีพญานาคราชตนหนึ่งมีนามว่า "ท้าวชมพูจิต" มีฤทธิ์อำนาจมาก สามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักรใดก็ได้ 
........พญานาคราชเห็นพระเจ้าอาทิตย์วงศ์เป็นพระราชาที่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงบันดาลให้เมืองปัญจาลนครอุดมสมบรณ์มีฝนตกต้องตามฤดูกาล 
........หากแต่เมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับปัญจาลนครคือ เมือง “นครมหาปัญจาละ” ซึ่งปกครองโดยพระราชาที่ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมพระนามว่า "พระเจ้านันทราช" 
........และจากการที่ทรงปกครองด้วยการกดขี่ข่มเหงอาณาประชาราษฏร์นี้เองจึงทำให้อาณาจักรของพระองค์ ประสบกับความแห้งแล้งข้าวยากหมากแพง เพื่อหนีจากความยากเย็นแสนเข็ญนี้บรรดาประชาราษฏร์จึงพากันอพยพไปอาศัยอยู่ในเมืองปัญจาลนคร 
........พระเจ้านันทราชมีจิตริษยาพระเจ้าอาทิตยวงศ์ และในขณะเดียวกันก็แค้นเคืองท้าวชมพูจิต ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีใจลำเอียง ในขณะบันดาลให้ฝนฟ้าตกบนพื้นโลก 
........เพื่อล้างแค้นท้าวชมพูจิต พระเจ้านันทราช จึงทรงปรึกษากับปุโรหิตผู้ซึ่งรับอาสาไปหาผู้ที่สามารถฆ่าพญานาคได้ 
........และแล้วก็ได้พราหมณ์เฒ่าผู้ซึ่งมีมนต์วิเศษสูงกว่าพญานาคราช หลังจากได้รับทราบพระประสงค์ของพระราชาแล้ว พราหมณ์ก็มุ่งหน้าไปยังสระใหญ่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพญานาคราชแล้วเป่ามนต์ลงในสระใหญ่ 
........ยังผลให้น้ำปั่นป่วน และเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสระ ในขณะประกอบพิธีอยู่นั้น พราหมณ์ต้องเข้าไปในป่า เพื่อหารากไม้มาทำเป็นเชือกไว้จับพญานาคราช 
........ด้วยอำนาจแห่งมนต์วิเศษของพราหมณ์ ท้าวชมพูจิตเกิดความรุ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผา จึงต้องขึ้นจากสระมา แล้วแปลงกายเป็นพราหมณ์หนุ่ม
........เพราะรู้ตัวว่าอันตรายได้เข้ามาใกล้ตนแล้ว แม้ตัวเองจะมีฤทธิ์เดชแต่ก็หาต้านทานพราหมณ์เฒ่าได้ไม่ ดังนั้นจึงคิดหาทางทำลายพิธีของพราหมณ์ผู้มีจิตคิดกำจัดตน 
........ในขณะเดินไปมาอยู่ในป่า ท้าวชมพูจิตในร่างของพราหมณ์หนุ่ม ก็พบกับพรานป่าผู้หนึ่ง ชื่อพรานบุญ กำลังออกป่าล่าสัตว์อยู่พอดี 
........จึงเข้าไปทักทายและถามถึงบ้านเมืองของพรานผู้นั้น พรานป่าบอกว่าเขาเป็นชาวเมืองปัญจาลนคร ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากเพราะได้รับความอนุเคราะห์จากพญานาคราช 
........หากมีใครคิดจะทำอันตรายแก่พญานาคราช พรานป่าสาบานว่าเขาจะฆ่าบุคคลผู้นั้นเสียโดยไม่รีรอ 
........ท้าวชมพูจิตดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น จึงแสดงตนเป็นพญานาคราชตนนั้น และเล่าเรื่องภัยอันใหญ่หลวงให้พรานฟัง เพื่อทำลายพิธีของพราหมณ์เฒ่าเสีย พรานบุญจึงยิงพราหมณ์เฒ่าตายด้วยลูกธนู 
........พญานาคราชดีใจมากและขอบคุณพรานบุญที่ได้ช่วยเหลือเขาไว้ แล้วก็ชวนพรานบุญไปเที่ยวชมนครใต้พิภพของเขา 
........พญานาคราชสัญญาว่าจะช่วยเหลือเมื่อใดก็ตามที่พรานบุญ ร้องขอแล้วก็มอบสิ่งมีค่าให้พรานบุญไปมากมาย พรานบุญจึงอำลาพญานาคราชและใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายแต่ก็ยังชอบล่าสัตว์อยู่เหมือนเดิม 

........วันหนึ่งในขณะที่เดินทางเข้าไปป่าลึก ได้พบกับพระฤาษีตนหนึ่งชื่อ “กัสสปะ” ผู้ซึ่งเล่าเรื่องกินรีให้เขาฟัง 
........โดยปกติหมู่กินรีจากเขาไกรลาศ จะบินมาลงเล่นน้ำในสระโบกขรณีทุกๆ ๗ วัน เมื่อพรานบุญเห็นความงามของกินรี ก็คิดจะจับนางกินรีสักนางหนึ่งไปถวายพระสุธน เพื่อเป็นของขวัญจากป่า 
........แต่พระฤาษีก็บอกเขาว่าไม่มีหนทางจะจับนางได้นอกจากจะได้บ่วงบาศก์ของพญานาคราชท้าวชมพูจิตเท่านั้น 
........เพราะนางกินรีสามารถบินได้เร็ว พรานบุญจึงเดินทางไปพบท้าวชมพูจิตเพื่อขอยืมบ่วงบาศก์ 
........ความจริงแล้วพญานาคราช ไม่ต้องการให้พรานบุญขอยืมบ่วงบาศก์เพราะจะเป็นบาปแก่ตน 
........แต่เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตตนไว้ให้พ้นภัยจากพราหมณ์เฒ่า และได้ทราบจากการใช้มนต์วิเศษของตน ตรวจสอบดูก็พบว่านางกินรีที่ชื่อว่ามโนห์รา และพระสุธนเป็นเนื้อคู่กัน พญานาคราชจึงยอมมอบให้ไป 
........หลังจากได้บ่วงบาศก์จากท้าวชมพูจิตมาแล้ว พรานบุญก็สามารถจับมโนราห์ซึ่งเป็นธิดาองค์หนึ่งในบรรดาธิดาทั้ง ๗ คน ของท้าวปทุมราชได้ (ท้าวปทุมราชเป็นพระราชาปกครองเขาไกรลาศ) 
........นางมโนหราห์ซึ่งเป็นน้องสุดท้องไม่สามารถหนีบ่วงบาศก์ ที่พรานบุญเหวี่ยงมาคล้องได้ พรานบุญนำนางไปยังปัญจาลนครและถวายพระสุธน 
........ทันทีที่ทั้งคู่พบกันก็มีจิตรักใคร่ด้วยเคยเป็นคู่บุญบารมี (บุพเพสันนิวาส) กันมาแต่ปางก่อน ทั้งพระราชาและพระราชินีเองก็มีความรักเอ็นดูนางมโนราห์ 
........เพราะนางมีพระสิริโฉมงดงาม และมีการอบรมอย่างขัตติยะนารี จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสอย่างเอิกเกริกให้ทั้งสองพระองค์ ส่วนพรานบุญเองก็ได้รับรางวัลอย่างงามเช่นกัน 

........ฝ่ายปุโรหิตโกรธนางมโนห์รา เพราะเขาเองต้องการให้บุตรสาวของตนอภิเษกสมรสกับพระสุธน แต่ว่าตอนนี้มโนราห์ได้ทำให้ความฝันของเขาสลายเสียแล้ว จึงคอยโอกาสที่จะได้แก้แค้นนาง 
........และแล้วก็แอบไปคบคิดวางแผนกับเจ้าเมืองปัจจันตนคร ให้ยกทัพมาตีเมืองของตน และเพื่อขับไล่ผู้รุกราน 
........ปุโรหิตจึงทูลเสนอให้พระสุธน ยกกองทัพออกปกป้องพระนคร ด้วยวิธีนี้เขาก็จะได้มีโอกาสดีกำจัดมโนราห์ออกไปเสียให้พ้นทาง 
........คืนวันหนึ่งพระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสุบินว่ามียักษ์ตนหนึ่ง เข้ามาในพระราชวังและพยายามจะควักเอาดวงพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงสะดุ้งตื่นจากบรรทม 
........ปุโรหิตเจ้าเล่ห์จึงได้โอกาสงามที่จะกำจัดมโนราห์ออกไปเสียให้พ้นทางของบุตรสาวตนเอง เขาจึงทำนายว่าข้าศึกจะเข้ามาในพระราชวังและประหารพระองค์เสีย ประชาชนจะพากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าและเมืองหลวงก็จะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น 
........พระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสดับดังนั้นก็ตกพระทัย จึงทรงรับสั่งให้หาทางแก้ไขโดยด่วน ปุโรหิตจึงกราบทูลว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทดวงชะตาบ้านเมืองไม่ดีจะต้องใช้สัตว์สองเท้าและสี่เท้ามาทำพิธีสังเวยบูชายัญ เพื่อ สะเดาะเคราะห์ บ้านเมืองจึงจะอยู่รอดปลอดภัยพระเจ้าข้า" 

........ในขณะเดียวกันนั้นเอง คนสนิทของปุโรหิตก็เข้ามากราบทูล ลวงพระราชาว่าทัพหลวงที่พระสุธนยกไปถูกข้าศึกตีพ่ายแพ้แล้ว
........ เพื่อเป็นการปัดเป่าลางร้ายปุโรหิตจึงกราบทูลว่า ถ้าจะให้พิธีมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องใช้สัตว์กึ่งมนุษย์กึ่งนก เช่นนางมโนราห์ ก็จะเป็นการบูชายัญที่ดีเยี่ยม 
........พระราชาและพระราชินีพยายามชักชวนให้ปุโรหิตเปลี่ยนไปใช้สัตว์อื่นแทนที่จะใช้มโนราห์ แต่เขาก็ยังยืนกรานเช่นเดิม 
........ทั้งสองพระองค์รู้สึกสงสารมโนราห์เป็นอย่างยิ่ง และทรงคาดเดาไม่ถูกว่าพระโอรสจะรู้สึกเช่นไร เมื่อกลับจากทัพแล้วไม่พบภรรยาสุดที่รักของตน 
........ในพิธีพระราชาทรงให้ก่อไฟตามที่ปุโรหิตเสนอ แล้วให้ทหารไปทูลเชิญนางมโนราห์มาเข้าพิธีบูชายัญ นางมโนราห์ผู้น่าสงสารได้แต่ร่ำไห้คร่ำครวญถึงพระบิดาพระมารดาของนาง และพระสุธนสามีของนาง บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า 
........ในขณะนั้นเองนางมโนราห์ได้สติและเกิดความคิดที่จะหนี จากการถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมนี้ 
........ดังนั้นนางจึงทูลขอพระราชาขอให้ได้รำถวายเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนางเป็นกินรีผู้ซึ่งรักการร่ายรำ หลังจากที่พระราชาทรงอนุญาตแล้ว นางจึงขอปีกและหางมาสวมใส่แล้วนางก็ออกร่ายรำด้วยท่วงท่าอันงดงามท่ามกลาง ฝูงชนอันเนืองแน่น 
........ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเฝ้าดูการร่ายรำอันงดงามอยู่นั้นเอง นางมโนห์ราก็ได้โอกาสหนีโดยถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและบ่ายหน้าไปยังภูเขาไกรลาศ ท่ามกลางความตกตะลึงของฝูงชนนั้นเอง 

........หลังจากชนะศึกแล้วพระสุธนก็ยกทัพกลับพระนคร อนิจจา! แต่ก็ต้องมาพบว่าภรรยาสุดที่รักของพระองค์ ไม่ได้อยู่ในพระนครอีกต่อไปแล้ว พระองค์มีความเศร้าโศก และทุกข์ทรมานมากยิ่งนัก 
........และหลังจากพระองค์สืบทราบความจริงแล้ว ก็สั่งให้ประหารชีวิตปุโรหิตชั่วนั้นเสียในข้อหาทรยศ แล้วก็ทูลลาพระบิดาและพระมารดาออกตามหานางมโนราห์ 
........แม้ว่าทั้งสองพระองค์    จะพยายามทัดทานประการใดก็ไม่เป็นผล พระสุธนยืนกรานที่จะเสด็จไป เพราะตนไม่อาจจะมีชีวิตอยู่่โดยปราศจากนางมโนราห์ได้ 
........พระสุธนให้พรานบุญนำทางไปจนถึงสระโบกขรณี และได้เข้าไปนมัสการพระฤาษีกัสปะ 
........พระฤาษีทูลให้พระองค์ทราบว่า นางมโนราห์ได้แวะมาหาตนก่อนและได้สั่งไว้ว่า หากพระองค์เดินทางออกตามหานางก็ให้ล้มเลิกเสีย เพราะว่าหนทางลำบากมากและอันตรายมาก 
........แต่พระสุธนก็ยืนกรานที่จะตามเมียรักไป  แล้วพระฤาษีก็มอบผ้ากัมพลกับแหวนที่มโนราห์ฝากคืนให้พระสุธนไป ตามที่นางมโนราห์ขอร้องไว้ 
........เมื่อได้เห็นของสองสิ่งนั้นพระสุธนก็โศกเศร้าเสียพระทัย ถึงกับร่ำไห้ออกมา พระฤาษีรู้สึกสงสารพระสุธนและก็บอกพระองค์ว่า 
........นี้เป็นผลบุญกรรมแห่งอดีตชาติ (พระรถเสนกับพระนางเมรี) จึงทำให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกัน แล้วก็มอบผลยาวิเศษให้พร้อมกับชี้ทางให้กับพระสุธนไปตามหามโนราห์ 

........พระสุธนออกเดินทางเพียงลำพัง โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือของพรานบุญ ผ่านป่าใหญ่ทึบซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะผ่านไปได้ ซึ่งมีผลไม้มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีพิษ 
........ด้วยความช่วยเหลือของลูกลิง พระสุธนก็จะเสวยผลไม้ที่ลูกลิงกินได้เท่านั้นจึงปลอดภัย เมื่อมาถึงป่าหวายซึ่งไม่สามารถจะผ่านไปได้เพราะล้วนแต่มีหนามพิษ 
........พระสุธนจึงใช้ผ้ากัมพลห่มแล้วนอนนิ่งๆ ขณะนั้นนกหัสดีลิงค์เข้าใจว่าพระสุธนเป็นอาหาร จึงคาบพระองค์ไปไว้ในรังบนยอดไม้ก่อนที่จะบ่ายหน้าไปหาอาหารเพิ่มอีก 
........พระสุธนได้โอกาสหนี แต่ก็หวั่นพระทัยว่าจะมีอะไรรออยู่เบื้องหน้าอีก หลังจากเดินทางมาพักหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะไปต่อได้อีกเพราะมีภูเขายนต์สองลูกเคลื่อนเข้ากระทบกันอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เปิดช่องว่างให้พระองค์ข้ามไปอีกทางหนึ่งได้ 
........แต่หลังจากร่ายมนต์ที่พระฤาษีให้พระองค์มา แล้วก็สามารถข้ามไปได้โดยง่าย 
........จากนั้นพระองค์ก็เดินทางมาถึงอีกป่าหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยพืชและสัตว์มีพิษ พระองค์จึงใช้ยาผงวิเศษชโลมกาย เมื่อผ่านป่าพิษแล้วก็มาพบที่อยู่ของนกยักษ์ พระองค์จึงได้แอบอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและรอเวลาค่ำ 
........คืนนั้นนกผัวเมียคู่หนึ่งคุยกันถึงเรื่องการได้รับเชิญให้ไปร่วมพิธีล้างกลิ่นสาบมนุษย์ให้กับนางมโนราห์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น 
........โดยพิธีนี้จัดให้มีขึ้นหลังจากมโนราห์กลับมาถึงบ้านเมืองครบ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน 
........หลังจากได้ยินนกทั้งคู่สนทนากัน พระสุธนก็ได้ปีนขึ้นไปในรังนกและซ่อนตัวอยู่ในขนนกตัวหนึ่ง โดยรอเวลาให้นกไปยังภูเขาไกรลาศ 
........ครั้นนกมาถึงสวนอุทยานก็เกาะบนต้นไม้ พระสุธนจึงเร้นกายออกจากขนนกแล้วซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ พระองค์เห็นเหล่านางกินรีกำลังนำน้ำจากสระอโนดาต เพื่อไปสรงสนานให้กับนางมโนราห์ 
........จึงแอบเอาแหวนใส่ลงในหม้อน้ำ ในขณะสรงน้ำนางมโนราห์ได้เห็นแหวนก็จำได้ นางก็รู้ทันทีว่าพระสุธนสามีของนาง ได้ติดตามมาถึงเขาไกรลาศนี้แล้ว นางมีความยินดียิ่งนัก จึงได้ออกตามหาพระองค์ 
........ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้พบกัน มโนราห์ได้พาพระสุธนเข้ามายังปราสาทของนาง ท้าวปทุมราชและพระมเหสีทรงทราบข่าวและทรงเห็นใจ ที่พระสุธนที่มีความรักนางมโนราห์อย่างมาก 
........มิฉะนั้นก็คงจะไม่ดั้นด้นเดินทางมาไกลท่ามกลางอันตรายนานับประการ พระองค์คิดว่า เจ้าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องมีความเป็นอัจฉริยะและมีความสามารถ เป็นพิเศษแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ต้องทดสอบความรักที่พระสุธนที่มีต่อธิดาของพระองค์ก่อน 

........ครั้นถึงวันทดสอบ ท้าวปทุมราชรับสั่งให้นางกินรีพี่น้องทั้ง ๗ ซึ่งมีรูปร่างสิริโฉมงดงามและคล้ายคลึงกันมากออกร่ายรำ ให้พระสุธนหาตัวนางมโนราห์ 
........พระสุธนเองรู้สึกหนักใจมาก เพราะทั้งหมดดูคล้ายคลึงกันมาก เพื่อให้ความรักของพระองค์สมหวัง 
........พระอินทร์จึงลงมาช่วยโดยการกระซิบบอกว่า ถ้านางใดมีแมลงวันทองบินมาจับที่ใบหน้า นางนั้นคือพระชายาของพระองค์ 
........พระสุธนยินดียิ่งนักและมองเห็นแมลงวันสีทองเกาะอยู่บนหน้าของมโนราห์ จึงรีบดึงพระกรของนางมาทันที 
........พระราชาและทุกๆ คนต่างก็มีความยินดียิ่งนัก ที่ได้เห็นทั้งคู่สวมกอดกัน พิธีอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่จึงจัดให้ทั้งสองพระองค์อีกครั้งหนึ่ง 
........อย่างไรก็ตามที่มาบางแห่งก็กล่าวว่า พระสุธนจำนางมโนราห์ได้ ก็เพราะพระองค์เห็นแหวนในนิ้วมือของนาง และไม่ได้กล่าวถึงพระอินทร์มาช่วยแต่อย่างใดเลย 
........แต่จะอย่างไรก็ตามทั้งสองพระองค์ก็ได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันไปนาน
                หลังจากพิธีอภิเษกสมรสแล้ว พระสุธนก็ทูลขอพระราชานุญาตจากท้าวปทุมราช ให้พระองค์และนางมโนราห์กลับไปเยี่ยมบ้านเมืองและบิดามารดาของพระองค์บ้าง 
........ท้าวปทุมราชทรงอนุญาตและร่วมเสด็จไปยังเมืองปัญจาลนครด้วย ท้าวปทุมราชได้พบกับพระบิดาของพระสุธน 
........โดยกษัตริย์ทั้งสองทรงแลกเปลี่ยนของขวัญและร่วมเป็นพระสหายกันตั้งแต่บัดนั้น 
........หลังจากประทับอยู่ในพระราชวัง ๗ วันแล้ว ท้าวปทุมราชได้ลาธิดาของพระองค์และทุก ๆ คน แล้วก็เดินทางกลับพระนครของพระองค์ 
........ภายหลังพระสุธนได้ขึ้นครองราชย์สมบัติแทนพระบิดา โดยพระองค์ได้ปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมและใช้ชีวิตร่วมกับนางมโนราห์อย่างมีความสุข จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์ 
               
                *****************************
 
สันนิษฐานกันว่า :
........๑. เมืองปัญจาลนคร อยู่ภาคใต้ของประเทศไทยแถวๆจังหวัดชุมพร
ส่วนเมืองนครมหาปัญจาละก็เช่นกัน คือ อยู่แถวๆจังหวัดนครศรีธรรมราช
........๒. เขาไกรลาศ และป่าหิมพานต์ที่อยู่ของกินนรและกินรี ก็คือ ภูเขาหิมาลัย
........๓. พระสุธนนั้นในอดีตชาติก็คือเจ้าชายรถเสน ส่วนนางมโนราห์ก็คือพระนางเมรีในอดีตชาตินั้นเอง(ศึกษาเพิ่มเติมจากเรื่อง พระรถเมรี หรือ นางสิบสอง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น