ตำนานอุรังคธาตุ ๑๒
- “อถ ปาปานิ กมฺมานิ อกโรนฺโต น พุชฺฌติ
- เสมิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ”
อธิบายว่า บุคคลไป่ได้กระทำกรรมอันเป็นบาป ก็ไป่ตรัสรู้ยังวิบากกรรมแห่งตนว่าเป็นบาปโทษใดๆ บุคคลดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ก่อนนั้น ได้ไปเกิดในนรกทนทุกขเวทนาจึงได้รู้จักยังกรรมวิบากแห่งตน แล้วคนทั้งหลายจึงทูลว่า จะกระทำสิ่งใดจึงจะหายจากกรรมวิบากนั้นๆ พระยาจันทบุรีจึงตรัสเป็นคาถาว่า
- “อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
- อปฺปมตฺตา น มียนฺติ เย ปมตฺตา ยถา มตา
- สทฺโท สีเลน สมฺปนฺโน ยโสโภคสมปฺปิโต
- ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ ตตฺถ ตตฺเถว ปูชิโตติ”
อธิบายว่า บุคคลเหล่าใดบ่ประมาทหลงลืมในกุศลบุญและคุณแก้วทั้ง ๓ ประการนั้น เป็นคลองอันจักได้ถึงยังพระนิพพาน บุคคลเหล่าใดมีความประมาทในคุณแก้ว ๓ ประการนั้น หากเป็นคลองแห่งความตาย และผู้ที่มิได้ประมาทนั้น ถึงแม้ว่าตายแล้วก็ได้ชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ บุคคลที่มีความประมาท ถึงแม้ว่ามีชีวิตอยู่ก็ได้ชื่อว่าตายแล้ว บุคคลที่ประกอบไปด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัยและเป็นผู้ตั้งอยู่ในศีลนั้น ข้าวของเงินทอง ลูกเมีย ช้างม้า ยศศักดิ์ก็มิได้ละเสีย แม้ว่าบุคคลผู้นั้นไปตกประเทศใดก็ดี คนทั้งหลายก็เทียรย่อมสักการบูชามิได้ขาด เปรียบประดุจดังฝนที่ตกลงมาแต่ที่สูง ย่อมไหล
- เชิงอรรถ –
ลงไปสู่มหาสมุทรทั้งสิ้น ฉันใด
พระยาจันทบุรีตรัสคาถาทั้งหลายจบลงแล้ว พระองค์ทรงหล่อเทียนเงินเทียนทองหนักเล่มละ ๑๐๐,๐๐๐ ตำลึง ดอกไม้ทองเงินหนักต้นละ ๑๐,๐๐๐ ตำลึง พร้อมด้วย ขันเงิน ขันทอง และพระขรรค์ไชยศรีด้ามแก้ว ดาบด้ามแก้ว ทั้งสิ้น ที่เป็นของเจ้าสังขวิชกุมารนั้น ทรงจารึกพระนามติดเทียนทั้ง ๒ เพื่อนำไปถวายพระยาสุมิตตธรรมให้ทรงทราบในความนอบน้อม แล้วพระองค์จึงตรัสสั่งให้นายช่าง เอาไม้รังมากระทำเป็นปราสาทหลังหนึ่ง บุให้แล้วไปด้วยเงิน และให้เอาผ้าสาฎกมุงหลังคา ทรงกระทำเป็นดอกบุณฑริก ๑๐ ดอก แล้วไปด้วยเงินไว้ในปราสาท ประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับสวยงามยิ่งนัก เพื่อบอกข่าวว่ามีพระอรหันต์ ๑๐ องค์อยู่ในพระนคร แล้วให้ช่างเอาทองคำมาแผ่ออกให้เป็นแผ่นขนาดยาว ๓ วา กว้างวาหนึ่ง ให้เขียนเป็นรูปมหาสมุทรและรูปสะพาน พร้อมด้วยพระสังฆเถระ และรูป อินทร์พรหม เทวบุตร เทวดา พร้อมด้วยรูปชาวพระนครไต่สะพานข้ามไปมาอยู่มิได้ขาด เพื่อให้แจ้งในสภาวะของพระองค์ว่าปรารถนาพระโพธิญาณ
แล้วพระองค์จึงเอาเครื่องราชบรรณาการนั้นๆพระราชทานให้แก่พราหมณ์ทั้ง ๕ และหมื่นนันทอารามพร้อมด้วยบริวาร ฝ่ายใต้มีหมื่นหลวงกลางเมือง หมื่นเชียงสา หมื่นแก่ นำไปถวายพระยาสุมิตตธรรม
- เชิงอรรถ –
คนทั้งหลายที่ออกนามมาแล้วนั้น ก็พร้อมกันกราบทูลลาไปสู่ที่อยู่แห่งตนๆ
ส่วนพราหมณ์ทั้ง ๕ นั้น เมื่อกลับไปถึงเมืองมรุกขนครแล้ว ก็นำเครื่องราชบรรณาการนั้นๆเข้าไปถวายพระยาสุมิตตธรรม เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นวัตถุข้าวของทั้งหลายนั้นๆ ทรงรับเอาแผ่นทองที่มีรูปสะพานและรูปมหาสมุทรพร้อมทั้งดอกบุณฑริก ยกขึ้นเหนือพระเศียรถึง ๓ ครั้ง แล้วจึงตรัสว่า หน่อพุทธังกูรเกิดแล้ว พระอรหันต์ก็มีขึ้นแล้ว ณ ที่นั้นถึง ๑๐ องค์ กล่าวคือดอกบุณฑริกนั้น
ครั้นแล้ว พระองค์ตรัสเป็นคาถา ดังที่พระองค์ทรงได้เป็นอุปนิสัยมาแต่เมืองร้อยเอ็จประตูติดกับพระองค์มาว่า
- “ทุลฺลโภ ปุริสาชญฺโญ น โส สพฺพตฺถ ชายติ
- ยตฺถ โส ชายติ ธีโร ตํ กุลํ สุขเมธติ”
อธิบายว่า บุคคลผู้เกิดมาเป็นบุรุษผู้อาชาไนยนั้น หาได้ยาก บุรุษที่เป็นอาชาไนยนี้ บ่ห่อนเกิดในที่ทั่วไป เป็นบางแห่งที่จะมีบังเกิดขึ้น เมื่อว่าบุรุษผู้อาชาไนยเกิดมีในที่ใด คนทั้งหลายอยู่ในที่นั้นก็มีความสุขในโลก
แล้วพระองค์จึงตรัสถามพราหมณ์ทั้ง ๕ ถึงเหตุการณ์ประเทศบ้านเมืองของพระยาจันทบุรี พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงทูลถวายโฉลกว่า “อินทสิริเจียมบาง ส่างสอง หนองสาม ล่ามสี่ ศรีห้าแห่ง แจ่ง๑สี่อัน
- เชิงอรรถ “แจ่งสี่อัน” ในที่นี้หมายถึง กงจิตร์แก้วมีอยู่ในที่นั้นทั้ง ๔ ทิศ หรือ ๔ มุม
ดังนี้” พระยาสุมิตตธรรมมีพระประสงค์จะใคร่ให้พราหมณ์ทั้ง ๕ แต่งลักษณะโฉลกเมือง พระองค์จึงได้พระราชทานดาบด้ามแก้วฝักทองคำที่พระยาจันทบุรีถวายมานั้นแก่พราหมณ์คนละเล่ม
ทันใดนั้น พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงบอกแก่กันว่า พระองค์ทรงพระราชทานดาบแก่เราทั้งหลายนี้ ด้วยพระองค์ทรงเลื่อมใสและพอพระทัยจะทรงทราบ จึงกราบทูลว่า อินทสิริเจียมบางนั้น เป็นชื่อของเทวดาตนหนึ่ง อยู่รักษาราชสมบัติของพระยาจันทบุรี เทวดาตนนั้นสถิตอยู่ปราสาทโรงหลวงเป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้ง ๕ ดังที่ข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้ทูลถวายต่อไปข้างหน้านี้
ชื่อที่ข้าพเจ้าทั้งหลายปงราชนามนั้น ด้วยเหตุแห่งขวดไม้จันทน์ของพญานาค และชื่อที่พระอรหันต์ตั้งให้ว่าบุรีจันอ้วยล้วยเมื่อครั้งเป็นพ่อนาว่าเป็นผู้บำเพ็ญบุญนั้นเป็นต้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้เอาชื่อเทวดา ๒ ตนที่รักษาน้ำมงคลมาสระสรงราชาภิเษก ประสมกันเข้าตามเพสแห่งครูกล่าวนั้น ด้วยมีแท้ ส่างสองนั้น เทวดาตนหนึ่งชื่อว่าปรสิทธิสักกเทว อีกตนหนึ่งชื่อรัตนเกสีรักษาน้ำลินมงคลตนละลิน และลินน้ำอันนั้น พญานาคเป็นผู้คุ้ยควักออกมาแต่บ่อแก้ว ๗ ประการ อันเป็นมงคล ให้ไหลออกเป็นร่องน้ำไปก้ำหัวเมือง มาตกแม่น้ำของเลยโรงหลวง และหนอง ๓ อันนั้น มีเทวดาตนหนึ่งชื่ออินทผยองมีผมอันหยิกอยู่ในบึงก้ำใต้เวียงนั้น อีกตนหนึ่งชื่อสราสนิท อยู่รักษาสระน้ำที่เตียนเวียงก้ำเหนือ เทียรย่อมรักษาคนทั้ง
- เชิงอรรถ –
หลายและดูแลยังคุณและโทษของอาณาประชาราษฎรในพระนครนั้น เทวดาอีกตนหนึ่งชื่อมัจฉนารี รักษาพระยาจันทบุรีพร้อมด้วยข้าทาสบริวารในพระราชสำนักทั้งสิ้น
ล่าม ๔ นั้น มีนาค ๔ ตัวเป็นผู้วินิจฉัยไตร่ตรองดูยังคุณและโทษของอาณาประชาราษฎรทั้งหลาย ตัวหนึ่งชื่อเอกจักขุ อีกตัวหนึ่งชื่อว่ากายโลหะ นาค ๒ ตัวนี้อยู่นอกเวียง ตัวหนึ่งชื่อสุคันธนาคอยู่หาดทรายกลางแม่น้ำ อีกตัวหนึ่งชื่ออินทจักกนาคอยู่ปากห้วยมงคล
ศรี ๕ นั้น มีนาค ๕ ตัวอยู่รักษาศรีเมือง เป็นใหญ่กว่าเงือกงูทั้งหลาย ด้วยมีแท้ พุทโธปาปนาคนั้นเป็นใหญ่กว่านาคทั้งหลายที่ได้บอกชื่อมาแล้วข้างต้นนั้น
ส่วนพญาสุวรรณนาคนั้นเป็นใหญ่กว่านาคทั้งหลาย แต่ทว่าท่านได้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ รักษากงจิตร์แก้วพระพุทธเจ้าที่ภูกูเวียน เหตุนี้จึงได้กล่าวถึงท่าน ท่านมาในที่นี้ก็แต่ในเวลาที่มาเนรมิตบ้านเมืองไว้ให้แก่พระยาจันทบุรีเท่านั้น แล้วก็กลับไปอยู่หาความสุขของท่านตามเดิม
ส่วนนาคทั้งหลาย ๙ ตัว ที่มีนามมาแล้วข้างต้นนั้น เทียรย่อมอยั่กษาค้ำชูบ้านเมืองและพระพุทธศาสนา และแจ่งที่มีแก้ว ๔ ลูกนั้นคือพระพุทธเจ้าได้เสด็จมายืนพักที่ริมหนองคันแทเสื้อน้ำ ทรงไว้กงจิตร์แก้วที่นั้นแห่งหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าเสด็จข้ามน้ำของไปประทับ
- เชิงอรรถ -
ฉันข้าวในร่มไม้ปาแป้งที่ภูเขาหลวง ที่นั้นเป็นกงจิตร์แก้วอีกแห่งหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าเสด็จกลับข้ามแม่น้ำของไปซ้าย ไว้รอยบาทลักษณ์กงจิตร์แก้วและฉันเพลที่เวินหลอดนั้นแห่งหนึ่ง ข้าน้อยทั้งหลายก็เห็นโดยลำดับ เมื่อกลับมาจึงได้ไหว้กงจิตร์ที่เวินพีน
แล้วข้าน้อยทั้งหลายจึงได้พิจารณาดูตามคลองพระเนตรพระพุทธเจ้าเปล่งไปตกหนองหานทั้ง ๒ แล้วพระองค์เสด็จจากเวินพีนมาอธิษฐานรอยบาทลักษณ์ไว้ที่ก้อนหินเหนือเมืองเรานี้ แล้วจึงเสด็จไปสถิตภูกำพร้าเสมอเมืองเก่าศรีโคตรบอง ทรงอิงต้นรังเปล่งพระเนตรไปเมืองโคตรบองๆจึงได้รุ่งเรืองเป็นใหญ่ในชมพูทวีป พระพุทธองค์ซ้ำเปล่งพระเนตรไปที่บาทลักษณเรือนปลา แล้วเสด็จกลับคืนมายังที่ใต้นั้น ภายหน้าโพ้นเมืองมรุกขนครก็จะย้ายกลับคืนไปตั้งที่นั้น เจดีย์อันหนึ่งก็จักบังเกิดในที่ของพระองค์พระราชทาน จึงกล่าวคาถาที่ได้มาแต่สำนักพระอรหันต์ สืบคำพระพุทธเจ้าว่า
“สจฺจํ ภเณน กุชฺเฌยฺย ทชฺช อปฺปสมี ยาจิโต เอเตหิ ฐาเนหิ คจฺเฉยฺย เทวานํ สนฺติเก”
บุคคลพึงกล่าวยังคำสัตย์เที่ยง ท่านให้ข้าวของน้อยก็ดี พึงใจรับเอา แม้ว่าตัวมีน้อย ก็พึงใจให้เป็นทานแก่ผู้มาขอด้วยตน ๓ ประการนี้ เทียรย่อมไปสู่สวรรค์เทวโลก “ทานสีลญฺจ สกฺกจฺจํ สุตฺวาธมฺมํ ปสีทติ สจฺจํ ขนฺติ จ กตญฺญู ติณฺณานํ รตนํ สริ อิมานิ
- เชิงอรรถ –
สตฺตปุญฺญานิ สมฺมา สมฺพุทฺธวณฺณิติ มหปฺผลํ จ สพฺเพสํ อสงฺเขยฺย อนนฺตํ”
บุคคลกระทำบุญให้ทานรักษาศีลควรคารวะ ฟังธรรมะควรยินดี มีคำสัตย์อดทน และรู้คุณท่านได้กระทำไว้แล้วแก่ตน และระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย บุคคลทั้งหลายที่ได้กระทำนั้นๆ พระพุทธเจ้าย่อมทรงสรรเสริญว่าดี มีอานิสงส์ผลได้อสงไขยหาที่สุดมิได้แก่บุคคลผู้นั้นจริง
- “อโกเธน ชิเน โกธํ อสาธุ สาธุนา ชิเน
- ชิเนกทริยํ ทาเนน สจฺเจนาลิกวาทีนํ”
บุคคลผู้บ่มักโกรธ ย่อมแพ้ผู้มักโกรธ บุคคลนั้นเป็นสัปบุรุษ ย่อมแพ้บุคคลผู้อสัปบุรุษ บุคคลผู้มักให้ทาน ย่อมแพ้ผู้ตระหนี่ในการให้ทาน บุคคลผู้มีสัตย์ ย่อมแพ้บุคคลผู้บ่มีสัตย์ “ปาตถฺเก สุคตา พีชฺชา ปรหตฺเถ คตํ ธมฺมํ ยถา อิจฺเจ น ลพฺภติ” พระพุทธเจ้าต่าวกลับคืนมายังที่นั้น เหตุนี้ เมืองมรุกขนครเท่าจักได้เป็นใหญ่สมัยเมื่อมหาราชเจ้าตนมีบุญสมภารนี้แหละ แม้ว่าพระพุทธศาสนาก็จะเป็นมัชฌิมศาสนา ด้วยว่าพระพุทธองค์ได้อธิษฐานรอยพระบาทไว้ที่ก้อนหินในน้ำก้ำเหนือเมือง แล้วจึงเสด็จมาประดิษฐานกงจิตร์แก้วไว้ที่ภูกำพร้า ทรงประทับอิงต้นรังที่นั่น
ส่วนเมืองหนองหานทั้ง ๒ นั้น ก็หามีเหมือนแต่ก่อนไม่ ด้วยเหตุพระพุทธเจ้าทอดพระเนตรไปทางเมืองพระยาจันทบุรีๆนั้นและ
- เชิงอรรถ –
ประเสริฐยิ่งนัก เหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากภูกำพร้าไปเมืองหนองหาน แล้วพระองค์เวียนกลับคืนไปไว้กงจิตร์แก้วที่ภูกูเวียน จึงเสด็จไปดอยนันทกังรี ไว้กงจิตร์แก้ว ณ ท่ามกลางแม่น้ำของ ไหลผ่าเมืองพระยาจันทบุรีไปที่ดอยนันทกังรีนั้นก็จักบังเกิดเป็นเมืองขึ้น รุ่งเรืองไปด้วยพระพุทธศาสนา แต่ทว่าจะต้องเข้าไปอ่อนน้อมขึ้นแก่เมืองที่พญานาคเนรมิตให้แก่พระยาจันทบุรีนั้น ถึงแม้ว่าเมืองมรุกขนครก็ฉันเดียวกัน ด้วยเหตุว่าพระพุทธเจ้าได้มาไว้กงจิตร์แก้วที่ริมหนองคันแทเสื้อน้ำนั้นก่อน พระองค์จึงได้เสด็จกลับคืนไปทางข้างขวา ไว้กงจิตร์แก้วและพงศ์เสมอกันทุกแห่ง ข้าน้อยทั้งหลายได้พิจารณาดูโฉลกเมืองตามคัมภีร์ศาสนานครนิทานที่ได้เรียนมา และได้เอาพื้นเมืองทั้ง ๓ มาประสมกันดู ตามที่พระพุทธองค์ได้เสด็จมาสู่เมืองสุวรรณภูมินั้น เอาตั้งเป็นอธิปติเข้าแพด๑กันดู เมืองมรุกขนครถูกมัชฌิมนครเศษอัปปราชาภายหน้ามีฉันนี้
ท้าวพระยาองค์ใดจักมาเป็นใหญ่ บ่มีอาณาคมบุญสมภารน้อย จักได้เป็นอนุแก่เมืองที่กว้างขวาง คือเมืองที่พระยาจันทบุรีกินอยู่ ณ ท่ามกลางบัดนี้ เมืองที่ตั้งขึ้นที่ดอยนันทกังรีนั้น ก็ถูกโชติราชาเอาส่วนสังฆโชติมาสับ ภายหน้าท้าวพระยาตนใดมาเสวยราชสมบัติชอบกระทำยุทธกรรมมากนัก แต่ภายหลังก็จะเสื่อมศูนย์เสียด้วยเหตุว่าเศษสูญราชา มีในคัมภีร์ศาสนานคร แต่ทว่าจักรุ่งเรืองแต่
- เชิงอรรถ – ๑ “แพท” เทียบเคียง
สังฆเถรเป็นใหญ่ยิ่ง เหตุว่าโฉลกศาสนานครนิทานในคัมภีร์สังฆราชาอธิปติพระพุทธศาสนา ถูกข้าน้อยทั้งหลายฝูงเป็นพราหมณ์เวทคูได้แจ้งในคัมภีร์เพศดังนี้ ขอถวายแก่มหาราชเจ้าก็ข้าแล
ขณะนั้น พระยาสุมิตตธรรมพระองค์ทรงยินดีจึงตรัสว่า สาธุ สาธุ แล้วจึงพระราชทานบำเน็จรางวัลแก่พราหมณ์ทั้ง ๕ เป็นอันมาก จึงตรัสสั่งให้แต่งโฉลกเมืองและรูปรอยกงจิตร์แก้วกับทั้งรูปแม่น้ำใหญ่ มีน้ำของ เป็นต้น พร้อมทุกสิ่งดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น เขียนลงในแผ่นผ้าขาวด้วยเส้นหมึกพร้อมทั้งรูปสิ่งที่เป็นมงคลไว้ให้บุคคลที่มีปัญญาพิจารณาดูแปน๑แม่น้ำและรูปนั้นๆเทอญ
ว่าด้วยพราหมณ์ทั้ง ๕ กลับคืนสู่เมืองมรุกขนครจบแต่เพียงเท่านี้
ต่อแต่นี้ไปจะได้กล่าวถึง เจ้าพุทธรักขิต ธรรมรักขิต สังฆรักขิต เถระที่นำสัทธิงวิหาริกทั้ง ๕ มีมหารัตนเถระเป็นต้น ไปสู่เมืองราชคฤห์ นำเอาพระบรมธาตุหัวเหน่าพระพุทธเจ้า ๒๙ พระองค์ ธาตุเขี้ยวฝาง ๑ องค์ พระธาตุฝ่าตีนขวา ๙ องค์ มายั้งอยู่ที่เมืองคอนราชนั้นคืนหนึ่ง พระอรหันต์ทั้ง ๘ รู้แจ้งในพฤติการณ์ว่า ครั้งเมื่อพระศาสดายังทรงทรมานอยู่ พระองค์ได้เสด็จมาสถิตถ้ำแก้ววชิรปราการระหว่างภู ๒ ลูกถัดละโว้นั้น พระอรหันต์ทั้ง ๘ จึงได้พร้อมกันไปจารึกพื้นบ้าน
- เชิงอรรถ ๑ “แปน” แผนผัง
พื้นเมืองและอุปเท่ห์นิทานทั้งมวลไว้ในแผ่นหินและพื้นพระธาตุพระพุทธเจ้า ที่จะได้ไปประดิษฐานในชมพูทวีป และพื้นรอยพระบาทลักษณพร้อมทั้งศาสนานครนิทานไว้พร้อมสรรพ
ส่วนพระอรหันต์ทั้ง ๓ ที่เป็นอาจารย์จึงสั่งศิษย์ทั้ง ๕ ไว้ว่า ให้นำพระบรมธาตุที่ได้มานั้น คือพระธาตุหัวเหน่า ให้เอาไปประดิษฐานไว้ที่ภูหลวงนั้น ส่วนพระธาตุฝ่าตีนขวานั้น ให้นำไปประดิษฐานไว้เมืองลาหนองคาย พระธาตุเขี้ยวฝางนั้น ให้นำไปประดิษฐานไว้ที่เวียงงัว ๓ องค์ และที่หอแพ ๔ องค์ ครั้นสั่งเสียเสร็จแล้ว พระอรหันต์ผู้อาจารย์ทั้ง ๓ ก็กลับคืนสู่เมืองราชคฤห์
ขณะนั้น พระอรหันต์ทั้ง ๕ จึงนำเอาพระบรมธาตุพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่ร่มไม้ปาแป้งที่ภูเขาหลวง ครั้งนั้น พระยาจันทบุรีพระองค์ได้ทรงทราบความจากหมื่นกลางโรงว่า พระอรหันต์ ๕ องค์กลับจากเมืองราชคฤห์ ได้นำเอาพระบรมธาตุพระพุทธเจ้ามา พระองค์ทรงชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงตรัสสั่งอำมาตย์ให้ไปรับนางอินทสว่างราชเทวีรัตนเกสี พระนางทรงทราบในการบุญ จึงได้เอาทองคำหล่อเป็นรูปสิงห์ ๔ ตัว หนักตัวละ ๑๐,๐๐๐ ตำลึง แล้วพระนางให้นำสิงห์ ๔ ตัวมาตั้งรวมติดกันเข้า หันหน้าออกตัวละทิศ แล้วเอาทองคำ ๒๐,๐๐๐ ตำลึง หล่อเป็นรูปอุโมงค์ประดับด้วยแก้ว ครั้นเสร็จแล้ว พระนางจึงให้เอาสิงห์ ๔ ตัวนั้นพร้อมด้วยอุโมงค์ ลงสู่เรือพระที่นั่ง เสด็จยาตราไปสู่ที่ศาลจอดพระสวามี
- เชิงอรรถ –
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น