วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ตำนานแม่น้ำชี


  • เล่าขานมากว่า 400 ปี!! น้อยคนจะรู้ก่อนเป็น "แม่น้ำชี" ที่มีความยาวที่สุด เกิดจาก "สิ่งลี้ลับ" ตามตำนานความเชื่ออันน่าสะพรึง!!
  • ในประเทศไทยของเราถือว่าเป็นประเทศที่มีความสมบูรณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะ "แม่น้ำ" ที่มีมากมายไหลทุกจังหวัดแทบทำให้ทุกพื้นที่มีความสมบูรณ์ถ้าหากไม่เกิดภัยแล้งรุนแรง และแม่น้ำที่ขึ้นชื่อคือ "แม่น้ำชี" ที่มีความยาวที่สุด ซึ่งน้อยคนจะรู้ว่าสถานที่แหง่นี้มีตำนานเรื่องอันน่าสะพรึงที่กว่าจะมาเป็นแม่น้ำชีในวันนี้ มีประวัติไม่ธรรมดา ได้เล่าขานจากรุ่นสู่รุ่นมากกว่า 400 ปีแล้ว วันนี้เราจะพาไปเปิดตำนานของที่แห่งกัน
  • "แม่น้ำชี" เป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำมูล เกิดจากที่ราบด้านตะวันออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์นับตั้งแต่เขาสันปันน้ำ เขาแปปันน้ำ เขาเสลียงตาถาด เขาอุ้มน้ำ เขายอดชี เขาครอก จนถึงเขาเทวดา ซึ่งเป็นแนวภูเขาชายเขตแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดชัยภูมิ โดยมีสาขาหลัก 5 ลำน้ำซึ่งประกอบไปด้วย ลำน้ำพอง ลำน้ำปาว ลำน้ำเซิน ลำน้ำพรม

  • แม่น้ำชี ถือว่า เป็นแม่น้ำที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย ไหลผ่านจังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ และไหลไปบรรจบกับแม่น้ำมูลที่บ้านวังยาง รอยต่อจังหวัดศรีสะเกษ กับ จังหวัดอุบลราชธานี มีความยาวทั้งสิ้น 765 กิโลเมตร

  • ชื่อของแม่น้ำชี เกิดจาก แม่หม้ายคนหนึ่งอยู่กับลูกสาว สามีของนางเสียชีวิตนานแล้ว วันหนึ่งนางไปหาหน่อไม้บนภูเขาซึ่งมีหน่อไม้มาก 
  • วันนั้นนางหาหน่อไม้ได้มากกว่าทุกวันนางจึงได้นำหน่อไม้ที่หาได้ไปขายในตลาดกับลูกสาวของนาง ปรากฏว่าหน่อไม้ของนางขายดีได้เงินมาเป็นจำนวนไม่น้อย 
  • เมื่อได้เงินจากการขายหน่อไม้นางได้พาลูกสาวของนางไปซื้อเสื้อผ้าซื้อของที่ลูกของนางอยากได้ เมื่อนางและลูกสาวซื้อของเสร็จกำลังจะออกจากร้าน เจ้าของร้านก็ได้บอกนางว่า "ผู้หญิงคนนี้สวยจริง ๆ เลย" 
  • ต่อมามีคนพูดว่า "ลูกสาวของป้าสวยอย่างนี้ทำไมไม่ให้เข้าไปอยู่ในวังจะได้สบาย" ต่อมานางจึงพยายาม ส่งลูกสาวเข้าไปอยู่ในวัง
  • เมื่อลูกสาวของนางได้ไปอยู่ในวังก็เป็นที่หมายปองของชายทั้งหลาย และได้พบรักกับลูกขุนนาง และตกลงใจแต่งงานกัน โดยไม่บอกมารดา
  • ด้วยความเป็นห่วง นางรู้แล้วว่าลูกสาวของนางแต่งงานแต่ไม่บอกนาง นางก็ไม่โกรธและได้เข้ามาหาลูกสาวในวัง 
  • เมื่อลูกสาวพบหน้ามารดาก็ทำท่าเหมือนไม่รู้จัก ซ้ำยังไล่เหมือนกับว่าไม่ใช่แม่ สร้างความเสียใจให้แก่ผู้เป็นแม่มาก 
  • นางกลับบ้านด้วยความเสียใจ เมื่อกลับถึงบ้านนางยังคงร้องไห้อยู่ทุกวัน เสียใจกับลูกที่นางรักปานแก้วตาดวงใจ ที่ทำกับนางเช่นนี้แม้ชีวิตก็ยอมสละให้ลูกได้ 
  • นางคิดว่าในชีวิตของนางไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เพราะคนที่นางรักยังไม่สนใจใยดีนางจึงไปวัดไปหาความสงบในชีวิตที่เหลือน้อยเต็มที 
  • ในที่สุดก็ตัดสินใจบวชชี และได้เดินทางไปบนภูเขาซึ่งนางเคยหาหน่อไม้กับลูกสาวของนาง และได้นั่งร้องไห้บนภูเขาจนน้ำตาของนางกลายเป็นสายน้ำที่ไหลอยู่ทุกวันนี้
  • และได้จบชีวิตลง ณ ที่แห่งนั้น ชาวบ้านได้เรียกชื่อแม่น้ำสายนี้ว่า "แม่น้ำชี"

  • ตำนานของแม่น้ำชี ยังมีปรากฏอีกแห่ง ซึ่งอยู่ในตำนานอุรังคธาตุ(ตำนานพระธาตุพนม)ซึ่งต้นฉบับดั้งเดิมจารึกไว้เป็นตัวอักษรธรรมอีสานบนแผ่นใบลาน 
  • คาดว่าถูกคัดลอกต่อกันมาไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ ปี ซึ่งกรมศิลปากร ได้ปริวรรตเป็นตัวอักษรไทยสยามไว้ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ บรรยายความเกี่ยวกับกำเนินแม่น้ำสายต่างๆลุ่มน้ำโขงว่า 
  • แต่เดิมมีหนองน้ำแห่งหนึ่งชื่อว่า หนองแส (คาดว่าปัจจุบันคือ ทะเลสาบเอ๋อไห่ เมืองต้าหลี่ มณฑลยูนนาน ประเทศจีน) 
  • หนองแสแห่งนี้ มีนาคอาศัยอยู่ด้วยกัน ๘ ตัว คือ 
    • พินทะโยนกวตินาค เป็นใหญ่ทางหัวหนอง, 
    • ธนะมูนนาค เป็นใหญ่ทางท้ายหนอง, 
    • ชีวายะนาค, หัตถีศรีสัตตนาค , สุกขรนาค, ปัพพารนาค,สุวรรณนาค และพุทโธปาปะนาค 
  • โดย พินทะโยนกวตินาคและธนะมูนนาค ได้ให้คำสัตย์ต่อกันว่า หาอาหารได้เท่าไร จะต้องแบ่งครึ่งเท่าๆกัน 
  • อยู่มาวันหนึ่ง พินทะโยกวตินาค จับเม่นได้เป็นอาหาร และแบ่งครึ่งตามสัญญา ปรากฏว่าธนะมูนนาค กินไม่พออิ่ม เนื่องจากคลางแคลงใจที่ ขนเม่นยาวเป็นศอก จะได้เนื้อมีนิดเดียวได้อย่างไร 
  • จึงเกิดเรื่องวิวาทกันระหว่างนาคทั้ง ๒ ฝ่าย ทำให้น้ำในหนองแสขุ่นมัว และสร้างความเดือดร้อนแก่สัตว์อื่นๆที่อยู่ร่วมกัน 
  • เรื่องจึงเดือดร้อนถึงสวรรค์ พระอินทร์จึงสั่งให้พระวิสุกรรมเทวบุตร ลงมาปราบนาคทั้ง ๒ ฝ่าย นาคทั้งหลายในหนองแส จึงถูกขับไล่และเหวี่ยงโยนออกจากหนองแส และบางตัวได้เลื้อยแถกแผ่นดิน จนกลายเป็นสถานที่ต่างดังนี้

  • ๑.พินทะโยนกวตินาค และ ชีวายะนาค ถูกเหวี่ยงออกไปตกนอกหนองแส นาคทั้ง ๒ ได้ใช้หน้าอกลำตัวเลี้อยแถกแผ่นดินไปหาแม่น้ำโขง รอยเลื้อยจึงกลายเป็น แม่น้ำอู ใน สปป.ลาว 
  • ๒.จากนั้น พินทะโยนกวตินาคได้ทางเมืองเชียงใหม่ และแหวกแผ่นดินกลายเป็น แม่น้ำปิง และเมืองโยนกวตินคร 
  • ๓.ศรีสัตตนาค หนีไปอยู่ ดอยนันทกังฮี (ยังสรุปไม่ได้ว่า หมายถึงที่ไหน) 
  • ๔.สุวรรณนาค หนีไปอยู่ ปู่เวียน (ยังสรุปไม่ได้ว่า หมายถึงที่ไหน) 
  • ๕.พุทโธปาปนาค คุ้ยควักแผ่นดินจนกลายเป็น หนองบัวบาน (ยังไม่ชัดเจนว่า จะหมายถึง เมืองหนองบัวลุ่มพู หรือไม่) 
  • ๖.ปัพพารนาค หนไปอยู่ภูเขาหลวง (ยังสรุปไม่ได้ว่า หมายถึงที่ไหน) แต่มีเงือกและพญางูพลัดหลงไปด้วย แต่เงือกและพญางู ทั้ง๒ ได้คุ้ยควักแผ่นดิน จนกลายเป็น แม่น้ำเงือกงู หรือ แม่น้ำงึมในปัจจุบัน (อยู่ สปป.ลาว) 
  • ๗.สุกขรนาค หนีไปอยู่ เวินหลอด (ยังสรุปไม่ได้ว่า หมายถึงที่ไหน) 
  • ๘.ธนมูนนาค และบริวาร ตอนแรกพลัดไปอยู่ใต้ดอยกัปปนคีรี (ภูกำพร้า หรือ เมืองธาตุพนม) แต่ธนมูนนาค ได้เลื้อยไปตามลำน้ำโขงต่อลงไปจนถึง ลี่ผี แล้วไม่สามารถเลื้อยต่อไปได้ จึงเลื้อยแถกแผ่นดินไปทางทิศตะวันตก ไปถึงเมืองกุรุนทะนคร รอยแถกแผ่นดิน จึงกลายเป็น "มูนนที" หรือ แม่น้ำมูน ในปัจจุบัน 
  • ๙.ชีวายะนาค ได้หนีไปตามเส้นทางของ ธนมูนนาค ก่อนที่จะเลื้อยแถกแผ่นดินไปทางด้านเหนือ โดยอ้อมเมืองพระยามหาสุรอุทก ไปจนถึงเมืองหนองหานหลวง และเมืองหนองหานน้อย รอยเลื้อย จึงได้กลายเป็น "ชีวายะนที"ตามชื่อของ ชีวายะนาค หรือ แม่น้ำชี ในปัจจุบั

  • หรืออีกนัยหนึ่งคือ คำว่า "ชี" นั้น มาจากภาษาอีสาน(ลาว) ท้องถิ่นแถบลุ่มน้ำชีบริเวณต้นน้ำนั้น คือคำว่า "ซี" ซึ่งหมายถึงการเจาะทะลุเป็นรู 
  • โดยลักษณะต้นกำเนิดของน้ำชีนั้นมีสายน้ำที่ไหลผ่านลอดใต้เทือกเขาหินปูน ที่เรียกว่า "ซีดั้น" และไหลทะลุลอดผ่านมาอีกฝั่งหนึ่งของเทือกเขา เรียกว่า "ซีผุด" เป็นเช่นนี้เป็นส่วนใหญ่ในบริเวณต้นกำเนิดสายน้ำชี จึงทำให้เรียกลำน้ำสายนี้ตามลักษณะพิเศษที่ลำน้ำไหลซี(ไหลทะลุ)ลอดผ่านใต้เทือกเขานั้นว่า "ลำน้ำซี" ในภาษาถิ่น หรือ ลำนำชี ในภาษากลาง นั่นเอง

  • ทั้งนี้เรื่องราวที่นำเสมอเป็นตำนานตามความเชื่อที่ถูกเล่าขานสืบต่อกัน ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือละเมิดความเชื่อของบุคคลแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณให้การอ่านและทำความเข้าใจ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น