วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

รามเกียรติ์ ๒๕๕๐



คนไทยแทบทุกคนคงจะรู้จักกับรามเกียรติ์มาบ้าง ไม่ว่าจะโดยการรู้จากหลักสูตรการศึกษา
หรือ จากเรื่องราวใกล้ตัว สุภาษิต คือเปรียบเปรยต่างๆ หรือ จากการละเล่น
การแสดงโขนซึ่งเป็นการแสดงนาฎศิลป์และการดนตรีไทยชั้นสูงสุด

ซึ่งโขนจะเป็นนำเรื่องราวของรามเกียรติ์หรือ เรื่องที่เกี่ยวข้องหรือเป็นที่มาของรามเกียรติ์มาละเล่นเท่านั้น
หาได้นำเรื่องราวจากละครเรื่องอื่นมาแสดงไม่

เรื่องราวในรามเกียรติ์ จะว่าไปก็เป็นมหากาพย์การต่อสู้กันระหว่างมนุษย์
( แปลว่า ผู้มีใจสูง หรือ ผู้ที่มีมโนธรรม ) กับ
ยักษ์ ( ผู้ที่จิตใจมากไปด้วยความโลภ โกรธ หลง น้อยไปด้วยความสำนึกผิดชอบชั่วดี )
และเหล่าโคตรพงษ์วงศ์ยักษ์
ซึ่งกล่าวกันว่า ท่านฤษี วาลมีกิ ได้แต่งไว้เมื่อกว่า ๒๔๐๐ ปีมาแล้ว
และคนไทยได้รับการรู้เรื่องราวเรื่องรามเกียรติ์นี้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาต่อ เนื่องกันมาจนปัจจุบัน
ซึ่งถ้าเราๆท่านๆมิได้เป็นคนคิดมากอย่างข้าพเจ้าก็คงจะรู้แล้วก็ผ่านไป

แบบ ว่า “ รามเกียรติ์”ก็คือรามเกียรติ์ เป็นโขนเป็นวรรณคดีก็สนุกดี
มีลิงมียักษ์มากระโดดโลนเต้นสู้รบปรบมือสัพยุทธผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะจนสุดท้ายฝ่ายธรรมะก็เป็นฝ่ายชนะอธรรมไปในที่สุด
( แต่กว่าผ่ายธรรมะจะชนะฝ่ายอธรรมได้ก็ต้องสูญเสียบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย )
ดูแล้วก็แล้วไป ไม่ได้นำมาวิเคราะห์คิดมากอย่างข้าพเจ้า( เวหา )

มูลเหตุจูงใจที่ข้าพเจ้า ( เวหา ) เกิดความคิดถึงเรื่องราว รามเกียรติ์
จนเป็นเหตุที่ต้องมาเขียนให้ท่านอ่านในวาระนี้ ( อันที่จริง ได้เคยเขียนบทความเล่านี้ไปแล้ว ในเวป Thaizodiac.org ) ก็เพราะเห็นว่า
คนไทยทั้งหลายอยู่ในอาการเครียดในสถานการณ์ปัจจุบันที่ก่อตัวมานานนับแต่มี ปี ๒๕๔๔ จนถึงปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับแต่ปี ๒๕๔๘ – ๒๕๔๙ มาจนปัจจุบัน และยังมองหาทางว่าจะยุติลงไปได้อย่างไร

มูลเหตุแรกเริ่มคือ เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว( ประมาณ ๒๕๔๒ )
ได้มีท่านสุภาพสตรีท่านหนึ่งได้มาสนทนาปราศัยแลกเปลี่ยนทัศนะกับ ข้าพเจ้า
แล้วท่านสุภาพสตรีท่านนั้นท่านได้พูดคุยถึงเรื่องสมมุติฐานอะไรบ้างอย่างของท่าน
ในเรื่องบุคคลที่มีบทบาททางการเมืองในปัจจุบันเกี่ยวโยงหรือเชื่อมโยง หรือถอดวิญญานมาจากตัวละครเด่นๆในรามเกียรติ์
มาเล่าสู่ให้ข้าพเจ้าฟัง ( ซึ่งท่านผู้นั้นคงจะดีใจมาก ที่มีพบข้าพเจ้าเพราะท่านคงไปพูดให้ใครฟังไม่ได้ เพราะถูกหาว่าสติเฟื่อง)

แต่ข้าพเจ้ากลับให้ความสนใจเพราะข้าพเจ้าชอบที่จะรับรู้อะไรที่คนทั่วไปไม่ เคยได้รับรู้
และอยู่ในฐานะที่ว่า “ เรื่องของชาวบ้าน คือ งานของเรา”
และข้าพเจ้า ( เวหา ) ก็เฝ้าสังเกตุและติดตามดูพฤติกรรมและเหตุการณ์ตลอดมา จนย่างเข้าปี ๒๕๔๘ จวบจนถึงปัจจุบันก็ยิ่งมั่นใจในสมมุติฐานนี้มากขึ้น

สมมุติฐานของท่านผู้นั้นคือ ท่านเกิดความหยั่งรู้อะไรบ้างอย่าง ว่าคนที่บทบาททางการเมืองคนนั้นคนนี้ เป็นใคร หรือมีบทบาทคล้ายตัวละครอะไรในรามเกียรติ์มาเกิดเป็นคนนั้นคนนี้ โดยใช้วิธิ

๑ .สังเกตุพฤติกรรม บุคลิกภาพ / ความประพฤติ/ นิสัยใจคอ / สันดาน หรือ บทบาท
ว่าคนนี้น่าจะเป็นใครในรามเกียรติ์จำแลงตัวมาเกิด หรือ มีพฤติกรรมคล้ายตัวละครตัวใดในอมตะวรรณกรรมนี้ ประดุจว่า
ท่านฤษี วาลมิกีผู้แต่ง ท่านมีอนาคตญาณ หยั่งทราบเหตุการณ์ในอนาคต ว่าจะมีเหตุการณ์มาเกิดหลังจากท่านประพันธ์ไว้ ๒๔๐๐ ล่วงแล้ว
ในยุดสมัยที่พระอรหันต์ในสมัยปลายอยุธยาต้นกรุงรัตนโกสินทร์คือท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ( ลำไย )
ได้พยากรณ์เรื่อง ๑๐ ยุคในรัตนโกสินทร์ ว่า ยุคที่ ๙ คือ ยุดถิ่นกาขาว

๒. ตั้งสมมุติฐานที่มาจากชื่อของบุคคลผู้นั้นผู้นี้ ( โดยเฉพาะคนที่มีบทบาททางการเมือง )
โดยการนำอักษรที่มีอยู่ในตัวฅนนั้นทั้งหมด ( อาจจะเป็นอักษรไทย หรือ อักษรอังกฤษ ) ก็ได้
แล้วเขียนตั้งไว้ แล้วนำอักษรต่างๆในชื่อนั้น ดึงลงมา หรือ ไขว่กันไปมา แล้ว นำมาเรียงขึ้นมาใหม่
ก็จะได้รู้ว่า คนๆนี้เป็นใครในรามเกียรต์ของท่านฤษีวาลมีกิ มาเกิด หรือ ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งในวรรณกรรมนั้น

อาทิ เช่น

เราเอาชื่อ + นามสกุล ( รวมทั้งยศและตำแหน่ง ) ของ

นช.ชายนายหน้าเหลี่ยมคนนั้น( ละไว้ในฐานะที่เข้าใจ )
ซึ่ง มีบทบาทและลีลาที่ต้องการเป็นใหญ่แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หมายจะครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้
ไม่ว่าจะทำร้ายทำลายประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของมันด้วยวิธีใดก็ตาม ฯลฯ

โดยการนำอักษรตัวแรกในชื่อของมันออกมาคือ
ตัว ท ( ท-ทหาร )
ตามมาด้วยตัวอักษร ษ ( ษ – ฤษี ) ที่มีอยู่ในลงมา แล้วแผลงเป็น ศ ( ศ- ศาลา ) เพราะพ้องเสียงกัน
ตามด้วย ก ( ก – ไก่ )
ตามด้วย ( ไม้หัดอากาศ )
ตามด้วย น ( น – หนู ) แต่แผลงเป็น ณ ( ณ –เณร ) เพราะ พ้องเสียง
ก็จะได้ตัวอักษรใหม่ ดังนี้คือ
ท+ ษ + กั +น ( แล้วเอาตัวอักษร ท ( ท. ทหาร ) อีกตัวที่เป็นตัวท้ายของยศ
แล้วแผลงรูปเป็น ฐ ( ฐ – ฐาน ) นำมาเรียงกันใหม่ ก็จะได้ ท + ศ + กั + ณ + ฐ์ หรือ ทศกัณฐ์

ยักษ์ตัวพ่อมารตัวเป้ง ในรามเกียรติ์ ซึ่งมาดูบทบาทหรือพฤติกรรมหรือสันดานของนช.นายหน้าเหลี่ยมคนนั้น กับ ทศกัณฐ์ ในรามเกียรติ์จะเหมือนกันอย่างน่าประหลาด
ไม่ว่าจะเรื่องรูปร่างหน้าตา ( คนพันธ์บ้าอะไรหน้าตาสี่เหลี่ยมอย่างกับหัวยักษ์ โดยไม่ต้องสวมหัวโขน )

ไม่ว่าเมืองที่ครองอยู่ก็คือ เมืองรังกา ( รัง + กา ) รังก็คือที่อยู่กา
“ กา” ก็คือ พวกที่อาศัยปากคอยจิกคอยตี เป็นที่น่ารังเกียจของผู้คน
( กาตัวนี้ ก็เป็นกาดำ ที่เวลาเพียงไม่กี่ปี ฝักตัวจนขาว จนเป็นกาขาว
เข้ากับยุคสมัยของยุดที่ ๙ ที่เรียกว่า ยุดถิ่นกาขาว )
รัง + กา ก็คือพรรคการเมืองนั้น หรือ สภา หรือ ทำเนียบรัฐบาล

ทศกัญฐ์ หมายปองในนางสีดา ซึ่งเป็นมเหสีของพระราม

นางสีดาก็เปรียบได้คือ ประชาชน ( ที่อ้างว่าประชาชนของพ้ม ) , รัฐธรรมนูญ ,อำนาจการปกครอง ตลอดจน ,ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างมหาศาลทั้งบนแผ่นดินแผ่นน้ำและใต้แผ่นดิน แผ่นน้ำ

ซึ่งเป็นของฅนไทยทุกฅน ( ที่เทวดาท่านจะรักษาไว้ให้ลูกหลานไทยได้ใช้ เมื่อไอ้ทศกัณฐ์จำแลงตัวนี้และโคตรพงษ์วงศาคณาญาติ ของพวกมันได้วิบัติฉิบหายไปแล้วเท่านั้น )

ซึ่งทศกัณฐ์จับนางสีดาไปไว้หมายจะเป็นสมบัติของตัว แต่ไม่สามารถจะเข้าใกล้หรือแตะต้องนางสีดาได้่ หากยิ่งเข้าใกล้เท่าไรก้จะยิ่งร้อนรนกระวนกระวาย

ก็เปรียบเสมือนประชาชนและความจงรักภักดีที่นางสีดา ( ประชาชน ) มีต่อพระราม
ซึ่งเป็นที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิศราชธรรมได้ปกครองมานานแสนนาน

ทศกัณฐ์จำแลงตัวนี้ ถึงกับตั้งตัวเป็นศัตรูมุ่งร้ายพระรามทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะโดยการกระทำของตัวมันเอง หรือ โดยสมุนบริวารของมัน เป็นตัวทำเกมส์ ก่อกวนสร้างความปั้นป่วนต่อความสงบไม่เว้นวัน

ทศกัณฐ์ มันถอดหัวใจไว้นอกตัวตามคำแนะนำของฤาษีโคบุตร ( คือผู้ที่แนะนำวิธีการซุกหุ้นซ่อนเร้นเส้นทางการเงิน คือ คนที่นามสกุล จังไรเสถียร นั้นแหละ )

เหมือนดั่งที่มันได้โอนเงินโอนหุ้นไว้ที่เร้นลับยากที่สืบทราบได้ และ ที่มันยังหวังจะได้คืนทรัพย์สินที่มันโกงไปจากแผ่นดินเกิดคืนจากการถูกอายัต ไว้

ทศกัณฐ์ มี ๑๐ หน้า ๒๐ มือ ฉันท์ใด มันก็มี ๑๐ หน้า ๒๐ มือ แบบเดียวกัน
คือ หน้าหนึ่งเป็นนักธุรกิจ หน้าหนึ่งเป็นนักการเมือง หน้าหนึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ฯลฯ
( ลองไปใส่หน้าให้ครบกันเองครับท่านผู้ชม )
มี ๒๐ มือ มือหนึ่งคว้าสัมปทานธุรกิจผูกขาดของชาติ มือหนึ่งสร้างอำนาจทางการเมือง
ส่วนมืออื่นๆคว้าอะไรบ้างพี่น้องช่วยกันเติมให้เต็มด้วยครับพี่น้องครับ
( ถ้าเกินก็ไม่เป็นไรครับ แต่อย่าลืมใส่มือที่คว้านักร้องสาวไว้หนึ่งมือด้วยนะครับพี่น้องครับ )

ทศกัณฐ์ มีเมียที่เป็นทางการชื่อ นางมณโฑ

ลองเอาชื่อของเมียมันมาถอดดูตามสูตรที่ ๑ ก็จะได้อักษร ๒ ตัวในชื่อนั้นออกมาว่า
ม ( ม –ม้า ) กับ น ( น – หนู )
ก็เอามาเรียงกันเป็น ม + น แผลงเห็น ม + ณ + ...+... เติมให้เต็ม
ก็จะได้ เป็น มณโฑ

อ้า เริ่มจะเข้าท่าแล้วใช่ไหมครับพี่น้องครับ คราวนี้ลองสูตรที่ ๓ นะครับ

สูตรที่ ๓

คือ สูตรที่ใช้การผวนคำ + พฤติกรรมของตัวละครนั้นๆ เช่น อีเพ็ญ ผวนมาจาก นางเบญจกาย
( เป็นยักษ์ตัวเมีย ขอเน้นว่าเป็นยักษ์ตัวเมีย ไม่ว่าชาตินี้มันจะมาเกิดเป็นเพศใด ก็ยังคงคืนสภาพเป็นยักษ์ตัวเมียอยู่นั่นเอง )

อีกตัวหนึ่ง ชื่อ ชะ+วา+ลิต ผวนมาจาก อินทรชิต
ยักษ์ตัวลูกของทศกัณฑ์ที่มีฤกษ์มาก เต็มไปเจ้าเล่ห์เพททุบาย แปลงร่างเป็นพระอินทร์จนดูเหมือนมาก
แต่สุดท้ายก็ไม่วายถูกกระชากหน้ากากที่ภายนอกดูหวานเจี๊ยบ
แต่ภายในยอมรับใช้ ยักษ์ตัวพ่อ ทำทุกอย่างแม้กระทั้งออกไปเอาไฟภายนอกมาเผาบ้านเผาเมืองก็ยังทำ

ทีนี้ลองมาดูยักษ์แก่อีกตัวที่มีฤทธิ์สูสีกับทศกัณฐ์
โบราณท่านจึงจับมาเฝ้าประตูวัดคู่กับทศกัณฐ์ เป็นยักษ์แก่เก๋าเกมส์ ครองอีกเมืองหนึ่งคือเมืองหรือมีอีกพรรคหนึ่ง แต่มาเป็นนอมินี่ให้กับทศกัณฐ์ เพราะทศกัณฐ์รบกับพระรามจนหมดตัวชน
เอาโคตรพงษ์วงศ์ยักษ์ ๑๑๑ ตัว ไปตายจนหมดตัวเล่น เลยไปเอายักษ์แก่ตัวนี้มาชนกับพระราม

เจ้ายักษ์ตัวนี้คือ สหัสเดชะ มาจากอักษรหน้าสุดของชายคนหนึ่ง ดึงลงมา แล้วก็ผสมคำตามสูตรที่หนึ่ง
จะได้เป็น ส + ท +ไม้หันอากาศ + ส + เ + ค + ช
ตัว ท ( ท – ทหาร เต็มหัวที่หลัง ก็จะได้เป็น ห – หีบ )
ตัว ค ( ค – ควาย พลิกหัว จะได้เป็น ด – เด็ก )
เต็ม สระ อะ ไปที่หลัง ด –เด็ก
ก็จะได้เป็น ส+หั+ส+เ+ด+ช หรือ สหัสเดชะ

ยักษ์พันหน้าตัวนี้มีฤทธิ์มาก ตัวใหญ่เสียงดังฟังชัด มักพูดจาหยาบช้าโอ้อวด กระเหี้ยนกระหือลือ
จะเอาให้เป็นตายกันไปข้างหรือไง อะไรกันนักกันหนา
( แต่จะชอบกินไปบ่นไป สวาปามไม่เลือกทุกสิ่งที่ขวางหน้า จนโรคห่ากินตับ หรือชอบแอบไปนั่งกินอาหารในส้วมนาน 45 นาที ตามวรรณคดีไม่ได้กล่าวไว้ )

มีกระบองวิเศษต้นชี้ตายปลายชี้เป็น ( ไม่ใช่หอกหัก) เป็นอาวุธ
ยกทัพย้ายพรรคมาเข้ารังกาพรรคของ ทศกัณฐ์ ถึงกับยอมทุบกำแพงประตูเมือง เพราะตัวใหญ่ราชรถใหญ่มากเข้าเมืองรังกาไม่ได้ ( สมกับคำโบราณที่ว่า ราชรถมาเกย )

พอได้เวลาก็หมายมาดจะยกทัพไปจัดการกับทหารพระราม ที่รบด้วยอาวุธมือตบที่ยกพล มาจากทั่วสารทิศ
จองถนนอยู่แถวๆราชดำเนิน เตรียมบุกเข้ายึดเมืองรัง+กา

สหัสเดชะ ๒๕๕๐ ก็พบกับหนุมานแปลงตัวมาเป็นลิงน้อย นั่งหย่องๆอยู่แถวริมฟุตบาท เห็นน่ารักน่าสงสารก็ถามว่าเจ้ามานั่งร้องไห้ตรงนี้ทำไม
ลิงน้อยก็หลอกว่า ( ลิงหลอกเจ้า ) ข้าอยากจะช่วยท่านรบกับทหารพระราม เพราะแค้นที่เจ้านายตัวคือพาลีถูกฆ่า จึงอยากมาของอาศัยท่านไปทำศึกครั้งนี้ด้วย เจ้ายักษ์บ้าหน้าโง่ก็หลงเชิ่อ
เอาหนีบไปด้วยไม่ว่าจะไปเสนอหน้าหาผลประโยชน์จากบ้านเมืองอื่นก็หนีบไป ด้วย
และถูกหนุมานปลอมหลอกว่าจะขออาวุธสักอย่างติดตัวไว้ ยักษ์หน้าโง่ก็ถามว่าหน้าอย่างเอ็งจะเอาอาวุธอะไร ลิงน้อยก็ตอบว่า 
“ หอกหักไม่เอา ขอแค่กระบองอันเดียวก็พอ”
เจ้ายักษ์บ้าก็เอากระบองอาญาสิทธิ์ ต้นชี้ตายปลายชี้เป็นมอบให้ ผลก็ปรากฎว่า หนุมาณก็หักกระบองนั่นเสีย แล้วสุดท้าย ก็จับสหัสเดชะไปจัดการ

เมื่อสหัสเดชะแพ้ต่อทหารพระราม ทศกัณฐ์ ๒๕๕๐

ก็ให้น้องเขย ชื่อว่า ชิวหา ขึ้นมารักษาเมืองรัง+กาให้
ชิวหา น้องเขยทศกัณฐ์ เป็นผัวของนางสำมนักขาและมีลูกด้วยกัน ๓ ตัว

น้องสาวตัวแสบของทศกัณฐ์ นางสำมนักขามีรูปร่างอย่างไร หน้าจะเหมือนลูกซาลาเปาใส่หมูแดงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่า นางยักษ์หน้าซาลาเปาตนนี้ กินทุกสิ่งที่ขวางหน้า

และชิวหา ซึ่งแปลว่าลิ้น ( ไม่ทราบใช้ลิ้นไปทำอะไรอย่างอื่นนอกจากรักษาเมืองให้ทศกัณฑ์
และจะไปหิ้วยักษ์ตัวเมียตัวอื่นไปซื้อตู้เย็น หรือพาไปเที่ยวป่าที่ไหน ในหนังสือไม่ได้กล่าวไว้ )

เมื่อทศกัณฐ์ ๒๕๕๐ หนีคดีไปอยู่ที่อื่น
ส่งนอมินี้ตัวแรกคือ สหัสเดชะ มารบกับทหารพระรามจนสหัสเดชะแพ้ยับเยิน
ก็ส่งน้องเขยลิ้นยาวมาทำหน้าที่รักษาตำแหน่งแทน

ชิวหาก็เอาใจพี่เขยเพราะอาจกลัวเมียคือนางสำมนักขา ( ก็สมควรกลัวอยู่หรอก รูปร่างหน้าตาอย่างนั้น )
คอยรักษาเมืองรัง+กาไว้ ไม่ให้ทหารพระรามบุกได้ ทำหน้าที่อยู่หลายวัน จนกระทั้งวันที่ ๗
( โปรดสังเกตุว่า เป็นวันที่ ๗ พอดี )

ชิวหาหลับไปเพราะเหนื่อยมาหลายวันแต่เอาลิ้นล้อมเมืองไว้ ทศกัณฑ์กลับมาไม่เห็นเมืองรัง+กา คิดว่า ถูกยึดไปแล้ว ก็โกรธขว้างจักรไปตัดลิ้นชิวหาขาดใจตาย
แสดงว่า ชิวหาต้องมาตายเพราะรักษาเมืองให้กับทศกัณฑ์แท้ๆ

ทศกัณฐ์ก็ยังพยายามจะครอบครองนางสีดาให้ได้ และ พยายามสร้างความเดือดร้อนไปทั้ง ๓ โลก
ต่อไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดไม่สิ้น จนถึงกับ ได้พยายามแบ่งภาค ( โฟนลิ้งค์ ) มาบงการให้ลิ้วล้อยักษ์กเฬวราก ออกมาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่เว้นวาง และกำลังนี้ได้สั่งการให้อินทรชิตและสหายยักษ์ดำเนินการต่อไป

หากจะกล่าวไปแล้ว หากทศกัณฐ์ไม่ตาย รามเกียรติ์ก็ไม่จบใช่ไหมครับ ท่านผู้ชม

( หมายเหตุ )

เขียนเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๒

เวหา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น