วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 1 เคอคูเดี้ยน

su_ra's Avatar


ตอนที่ 1 เคอคูเดี้ยน


  • ผมชื่อ เคอคูเดี้ยน นี่เป็นชื่อผมในโลกวิญญาณ ซึ่งผมเป็นวิญญาณระดับการชั้นสูง ความจริงแล้ววิญญาณไม่ต้องการชื่อหรอก แต่เพื่อเป็นการระบุตัวตน ชื่อจะจำเป็นต่อโลกมนุษย์ซึ่งมีสิ่งของมากมายและไม่อาจช่วยให้วิญญาณอยู่รวมกันและจดจำซึ่งกันและกันได้


  • ผมเคยอาศัยอยู่ในโลกต่างๆ มากมายและหลายภพหลายชาติ ผมเองก็มีชื่อหลายชื่อ แต่ขณะนี้วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดได้สิ้นสุดลงแล้ว วิญญาณของผมได้กระทำในสิ่งที่ผมต้องทำในโลกชั่วคราวเรียบร้อยแล้วการแสวงหาทางจิตวิญญาณของผมสิ้นสุดลงแล้ว


  • การเดินทางของวิญญาณเป็นการแสดงจำนวนครั้งของการกลับชาติมาเกิด ซึ่งวิญญาณได้ผ่านช่วงเวลานี้เพื่อชำระบาป เมื่อการรอนแรมที่พันธนาการได้สิ้นสุดลงวิญญาณจะได้รับการเสนอทางเลือก วิญญาณอาจอยู่ในระดับใดของภพภูมิก็ได้ ตามที่ระดับการวิวัฒนาการที่เตรียมไว้ หรือไม่ก็จะกลับมายังมนุษย์ตามที่เลือกไว้ หรือไม่ก็อาจเป็นผู้นำกลุ่มวิญญาณโดยรวม เขาอาจทำเช่นนั้นในด้านความกล้าหาญ ความสุข ความศรัทธา ความหวัง ความรักใคร่ หรือคุณงามความดีที่ช่วยให้มนุษย์โลกเอาชนะต่อสัญชาตญาณฝ่ายต่ำ


  • เมื่อมนุษย์ได้เสร็จจากแสวงหาทางวิญญาณ ผมถูกเสนอให้เป็นฑูตนำความโศกเศร้าแก่มนุษย์ ภารกิจนี้เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ เพราะประสบการณ์จากความโศกเศร้าทำให้มนุษย์มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการชำระบาประดับสูงได้ ถ้าวิญญาณที่นำพาความโศกเศร้าทำภารกิจของตนลุล่วงไปด้วยดี ผู้ที่ได้รับประสบการณ์ก็จะได้รับยารักษาบรรเทาความพ่ายแพ้ เมื่อมนุษย์น้อมรับความโศกเศร้าโดยดี มนุษย์ก็จะมีความก้าวหน้าในวิถีทางของการพัฒนาจิต และขึ้นไปสัมผัสแสงแห่งพระเจ้า การถูกเสนอให้ทำภาพกิจนี้ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่ตัวผมเองไม่เคยยอมรับความเจ็บปวดได้เลย สิ่งนี้จึงเป็นบทเรียนอันแสนสาหัสที่ผมต้องเรียนรู้ บางที่สิ่งนี้อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้ทุกข์ทรมานแสนสาหัส ผมก็จะเล่าเรื่องของผมต่อไป


  • เมื่อครั้งที่ผมได้รับคำเสนอให้เป็นฑูตแห่งความโศกเศร้านั้น ผมเองได้ปฏิเสธหน้าที่นี้ไป วิญญาณอาจจะเลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธภารกิจที่หัวหน้าเสนอมาได้ เพราะสิ่งนี้ถือเป็นความสมัครใจ ผมคิดว่าตัวเองใจแข็งไม่พอที่จะนำพาความโศกเศร้าได้ แต่เมื่อผมได้รับโอกาสที่จะกลายเป็นที่มาของแรงบันดาลใจของมวลมนุษย์ทั้งหมด ผมก็มีความปลาบปลื้มเป็นอย่างมากผมรู้สึกว่าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ และผมยอมรับความท้าทายอันนี้อย่างไม่รั้งรอ


  • ผมจำเรื่องราวครั้งแรกของตนเองได้อย่างชัดเจน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงที่ 3 ที่ชื่อว่า โซลาริส คนที่อาศัย ณ ที่นี้เรียกตัวเองว่า เทร่า (ดิน) ซึ่งเป็นชื่อสสารที่พวกเขาได้ก่อกำเนิดขึ้นมา จิตวิญญาณที่เรียกผมนั้นอยู่ ณ ดินแดนอันกว้างไกล ที่เราเรียกในตอนนี้ว่าอาณาจักรรัสเซีย เธอมีชื่อว่าแอนนา


  • แอนนา เป็นมนษย์ที่เปราะบาง ขี้โรคและอ่อนแอ คนรอบข้างจึงไม่สนใจและเพิกเฉย แต่เธอได้รับเลือกให้เป็นตัวอย่างของคนในโลกทั้งหมดและแหล่งแห่งความปีติยินดี ผมได้มาอยู่ข้างๆเธอ เมื่อเธออายุ 9 ขวบ 
  • ผมยังจำหิมะที่ตกหนักปกคลุมเมืองเซ็นปีเตอร์เบิร์กของฤดูหนาวทุกปี และภาพของแม่น้ำซึ่งกลายเป็นน้ำแข็งก่อนที่ใบไม้จะเริ่มร่วงหล่นจากต้น ผมมองไปพร้อมๆ กันแอนนา ในขณะที่เกล็ดหิมะตกโปรยปราย เหมือนน้ำตานางฟ้า ที่ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้ามืดครึ้มดำทะมึนเต็มพื้นถนนทุกสายที่คราคร่ำด้วยฝูงชน 
  • โดยมีเสียงอึกทึกของม้าและผู้คนที่เร่งรีบ ความบริสุทธิ์ของหิมะที่เรามองเห็นถูกเหยีบย่ำกลายเป็นเถ้าถ่านจากรองเท้าของผู้ที่สัญจรไปมา และรถม้าจากพระราชวังที่ผ่านหน้าไป ทำให้เห็นแสงวาววับจากเสื้อคลุมที่ประดับประดาด้วยกระดุมทองเหลืองและขนสัตว์เอสทราและขนหมี ใบหน้าของพวกเขาดูหยิ่งทะนงโดยสวมหมวกทหารขนสัตว์ติดมงกุฏแซมด้วยขนนก


  • นัยน์ตากลมโตที่เคลือบความโศกเศร้าคล้อยมองตามขบวนทหารขณะที่เหล่าทหารเดินผ่านไป ภาพเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกสนใจมาก ผมน่าจะเป่าลมเบาๆ ที่ผมของเธอ หรือริบบิ้นที่ติดอยู่บนเสื้อเธอ เธอมักจะส่ายหัวหรือไม่ก็แต่งริบบิ้น และเมื่อเธอเหลือบมองอีกครั้ง เหล่าทหารก็เดินลับไปจากมุมตรงนั้นเสียแล้ว


  • ไม่มีใครสนใจแอนนาหรอก ผมเป็นเพื่อนเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่บนตึก 2 ชั้นที่อยู่เหนือถนน จริงๆ แล้วแอนนาไม่เห็นผมหรอกเพราะผมเป็นฑูตวิญญาณ เธอไม่มีโอกาสได้เห็นผมเลย หน้าที่ผมต้องกระทำต่อเธอก็คือ ให้เธอเชื่อในคำแนะนำที่ผมจะกระซิบผ่านหูซึ่งเป็นความคิดเพียงแวบเดียว ไม่ว่าเมื่อใดที่เธอสงสัยว่าความคิดเหล่านั้นได้โพล่งออกมาจากความคิดที่ไม่คุ้นมาก่อน นับว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่เธอเลือกที่จะยอมรับคำแนะนำที่ผมจะสื่อผ่านใจเธอหรือไม่ก็ได้ สิ่งนี้สำคัญทีเดียวเพราะภารกิจของผมต้องการทำให้เหมาะสมตามกฏแห่งพระเจ้าที่ควบคุมจิตใจของมนุษย์


  • เมื่อแอนนาอายุ 10 ขวบ เธอป่วยหนักมาก ปอดของเธอไม่แข็งแรง และเมื่อฤดูหนาว 2 - 3 ครั้งที่ผ่านมานั้น เธอป่วยหนักเป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคปอดบวมที่รุนแรงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า นั้นเกือบคร่าชีวิตของเธอไปแล้ว ผมไม่เคยห่างกายเธอเลยแม้ว่าหลังจากที่หมอหวังว่าเธอจะหายป่วย แม่ของเธอจึงหยุดร้องไห้ ผมยังอยู่เคียงข้างเธอและกระซิบพูดความรู้สึกที่ดีและคำอ่อนหวานให้เธอฟังผมเล่าเทพนิยายจนเธอติดใจ และผมก็เตือนเธอหลายครั้งว่า เธอจะแข็งแรงสามารถเอาชนะความเจ็บป่วยของตัวเธอเองได้ และเธอจะต้องหายเพราะว่าเธอมีสิ่งสำคัญมากที่ต้องกระทำ


  • หลายเดือนต่อมา ในที่สุดเธอก็หายจากอาการเจ็บป่วยเป็นครั้งแรก แอนนาอยู่บนเตียงและอยากรับประทานอาหาร แม่ของแอนนาที่นั่งสัปหงกข้างๆ เธอเกือบจะล้มตกมาจากเก้าอี้ หมอหลายคนบอกว่าแอนนาเกือบจะไม่รอดชีวิต บ้านของเธอได้เคยกลายเป็นโรงพยาบาลบ้าของคนเสียสติมาแล้ว แม่ของแอนนาขอซุปผักกาดให้ลูกสาวรับประทานเพื่อบำรุงปอด แต่คุณยายได้แนะว่าหลานควรรับประทานมันฝรั่งต้มกับซอสแอปเปิ้ล แต่แม่ไม่ได้ทำตาม แอนนาเลยรับประทานซุปผักกาดที่ราดด้วยครีมเปรี้ยว 2 ชามเต็ม


  • หลังเกิดเหตุการณ์วิกฤติครั้งนี้ ครอบครัวต่างดูแลเอาใจใส่แอนนาอย่างใกล้ชิด เธอได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ ฉันกระซิบบอกแอนนาให้เธอขอร้องแม่เรื่องหนึ่ง คำขอนี้ก็คือ การเข้าเรียนที่ Imperial Ballet School การเต้นบัลเลย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รักของทุกคน จักรพรรดิและกษัตริย์ก็อาจยอมวางผืนแผ่นดินแทบเท้าเธอ มีแต่ความต้องการของเธอเท่านั้นที่จะทำให้เกิดมนต์เสน่ห์แห่งการเต้นแก่โลก เธอสามารถเดินทางรอบโลกด้วย เรียกว่าที่เดินไหวและเร้าความรู้สึกอันสูงส่งให้แก่ทุกคนที่เห็นเธอ ความมุ่งร้าย ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา และภาพลวงตาของปิศาจทั้งปวงจะยอมสยบหลีกลี้แทบเท้าเธอ เธอสามารถใช้คุณความดีของศิลปะโน้มนำจิตวิญญาณอนันตาบาลของมวลมนุษย์ไปสู่อัครสถานของพระเจ้า


  • แม่ของแอนนาไม่สามารถปฏิเสธคำขอของลูกสาว ซึ่งยากที่จะกลับสู่ประตูแห่งความตายอีกไม่กี่เดือนต่อมา แอนนาเริ่มเรียนที่ Imperial Ballet School จากการที่เพื่อนๆ ของครอบครัวแอนนาได้ติดต่อกับราชวงศ์โรมานอฟส์ ตอนนั้นเธออายุย่าง 11 ขวบ


  • ในช่วง 8 ปีต่อมา ผมอยู่เคียงข้างกับแอนนามาโดยตลอดผมเป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอและทำให้จิตใจของเธอเข้มแข็งต่ออุปสรรคนานัปการที่เธอต้องเผชิญ การต่อสู้แข่งขันดูจะยากขึ้นและเมื่อแอนนาปรากฏตัวที่รัสเซียเมื่ออายุ 18 ปี ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีแววเอาเสียเลย แต่ผมไม่ได้ปล่อยให้เธอท้อแท้ ผมอยู่เคียงข้างเธอทั้งวันทั้งคืน คำพูดของผมทำให้จิตใจเธอแข็งแกร่งเดินทางไปสู่ชัยชนะตัวผมเองเป็นผู้จุดประกายไฟความทะเยอทะยานให้กับเธอ ในที่สุดแอนนาก็ได้รับเชิญในการเดินทางไปแสดงศิลปะการเต้นแถบสแกนดิเนเวีย นับเป็นคืนแรกที่เธอต้องเต้นรำนอกประเทศรัสเซียถัดจากสแกนดินีเวียเธอเดินทางไปอังกฤษ และต่อจากนั้นได้ไปประเทศอื่นๆ ในยุโรปและอเมริกา ชื่อเสียงของเธอกึกก้องไปทั่วโลกศิลปะการเต้นรำที่เหนือชั้น ความอ่อนช้อยในแต่ละท่วงท่า
  • ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนท่องเมืองสวรรค์ของเหล่าเทวดานางฟ้าและวิญญาณบริสุทธิ์ การเดินทางไปแสดงช่วงสั้นๆ นั้นสร้างความตื่นเต้นแก่ความรู้สึกของแต่ละคน และนำไปสู่ดินแดนที่สูงส่ง ซึ่งความรู้สึกอันเลวร้ายได้แปรเปลี่ยนเป็นความสุขอันล้นพ้น วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วิญญาณแต่ละตนได้เห็นแสงอันเรืองโรจน์ของเทพอมตะและอยากจะพำนักบนสวรรค์ชั้นฟ้าที่เรืองรองนั้น เมื่อกลับมาสู่โลก ผมจึงมีประสบการณ์ที่จะยืนหยัดและช่วยเหลือมนุษย์หลายหมู่เหล่าให้พ้นจากความทุกข์โศกเศร้า
  • และนี้ก็เป็นการสิ้นสุดของภาระหน้าที่ของผมที่มีต่อ แอนนา พาวโลวา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น