ตำนานอุรังคธาตุ ๑๖
อุโมงค์ที่สร้างไม่แล้วนั้นมาโสรจสรงอบรม นำเอาพระอุรังคธาตุทั้งสิ้นที่หุ้มห่อและปกปิดด้วยผ้ากำพลนั้น ตั้งไว้ท่ามกลางปราสาท แล้วให้เลือกสรรค์เอาแต่บุคคลที่ดี ให้นุ่งผ้าขาว สวมเสื้อขาว สำหรับหามพระอุรังคธาตุไปสู่ภูกำพร้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ แล้วทรงประกาศแก่คนทั้งหลายให้ทราบว่า ห้ามไม่ให้พูดถึงการแข่งขันพะนันกันแม้แต่อย่างหนึ่งดังแต่ก่อน ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะเอาตัวทำโทษ
อนึ่ง หญิงทั้งหลายได้ทราบในคำประกาศ ก็พากันเข้าไปไหว้พระมหากัสสปเถระเจ้าว่า ผู้ข้าทั้งหลายนี้พร้อมใจกันก่ออุโมงค์สำเร็จบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ผู้ข้าทั้งหลายพร้อมกันเข้ามาไหว้พระผู้เป็นเจ้า ขอเอาพระอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าไปฐปนาไว้ ณ ที่นั้น
ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า จึงให้พระอรหันต์กลับคืนไปสู่ที่ถวายพระเพลิง นำเอาพระอังคารพระพุทธเจ้ามา ๓ ทะนาน ด้วยอิทธิฤทธิ ให้แก่หญิงทั้งหลายนำไปฐปนาไว้ ณ ที่นั้น สถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่า “ธาตุนารายน์” ตามคำหญิงทั้งหลายกล่าวเมื่อแรกจะก่อนั้นว่า ใครจะมีกำลังเสมอด้วยพระนารายน์นั้นเล่า ผู้ชายก็มีมือข้างละ ๕ นิ้วเหมือนกันนั้นแหละ อุโมงค์นี้ผู้เฒ่าคนแก่ทั้งหลายจึงให้ชื่อว่า “อุโมงค์อิตถีมายา” พระยาสุวรรณภิงคารจึงตรัสว่า ท่าน
- เชิงอรรถ –
ทั้งหลายอย่าได้ม้างคำพระอรหันต์เลย ให้เรียก “พระธาตุนารายน์” ตามคำของพระอรหันต์นั้นเทอญ ส่วนอุโมงค์ที่ผู้ชายก่อไม่สำเร็จนั้นให้ชื่อว่า “ภูเพ็กมุสา” ตามเหตุอันนั้น
ครั้งนั้น พระยาคำแดงเจ้าเมืองหนองหานน้อย ให้ก่ออุโมงค์เป็นรูปพรหม ๔ หน้าไว้ที่บัวหลวงแห่งหนึ่ง ที่บัวกุ่มน้อยแห่งหนึ่ง ที่ก่อไกลกันบ่มิได้ปรากฏ แต่พระองค์ทรงทราบข่าวว่า พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุไว้ ณ ที่นั้น และนำเอาไปประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้า พระองค์จึงนำเอาข้าวของเงินทองขึ้นบรรทุกบนหลังช้างหลังม้า แล้วพระองค์เสด็จขึ้นทรงช้างมงคล พาบริวารเสด็จมาสู่เมืองหนองหานหลวง เพื่อจะนำเอาพระอุรังคธาตุไปสู่พระนคร
ชาวเมืองหนองหานหลวงเห็นดังนั้น ก็พากันแตกตื่นเข้าใจว่าข้าศึกยกเข้ามารบกวน จึงได้นำความเข้าไปกราบทูลพระยาสุวรรณภิงคารๆจึงตรัสสั่งให้อำมาตย์ผู้ฉลาดออกไปตรวจตราดูก็รู้ว่าพระยาคำแดง ซึ่งเป็นพระอนุชาข้างฝ่ายพระมารดาของพระองค์ นำเครื่องไทยทานเสด็จมา อำมาตย์จึงได้นำความเข้ามากราบทูล เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพระอนุชาเสด็จมาก็ทรงยินดียิ่งนัก จึงตรัสสั่งให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ออกไปต้อนรับเชิญเสด็จเข้ามาให้ทันในเพลานั้น จะเสด็จไปสู่ภูกำพร้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ทันใดนั้น พระยาคำแดงพร้อมด้วยอำมาตย์เสด็จและมาถึง พระยาสุวรรณภิงคารเสด็จออกไปต้อนรับและทรงปฏิสันถารกับด้วยพระอนุชา แล้วพระ
- เชิงอรรถ –
ราชาทั้ง ๒ ก็เสด็จไปสู่ภูกำพร้า
ครั้งนั้น พระยาอินทปัฐนคร พระยาจุลณีพรหมทัต พระยานันทเสน ทรงทราบ จึงได้ตระเตรียมไพร่พลโยธาไว้ริมแม่น้ำเสมอปากเซ พระยาสุวรรณภิงคาร พระยาคำแดง ได้ทอดพระเนตรเครื่องศาสตราวุธยุทธภัณฑ์และไพร่พลโยธาของพระยาทั้ง ๓ ก็บังเกิดความสงสัย ด้วยเหตุว่าพระยาทั้ง ๒ พี่น้อง มิได้เตรียมไพร่พลโยธาและมิได้นำเอาเครื่องศาสตราวุธยุทธภัณฑ์ไปด้วย
ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า จึงได้แกวดกดหมายด้วยเหตุที่พระผู้เป็นเจ้ารู้ในน้ำพระทัยของพระราชาทั้ง ๒ พระมหากัสสปเถระเจ้าก็มีความยินดีที่จะมิให้น้ำพระทัยของพระราชาทั้งหลายกระด้างกระเดื่องต่อกัน พระมหาเถระเจ้ามีความปรารถนาอยู่แต่จะให้พระราชาทั้ง ๕ มีน้ำพระทัยอันเบิกบาน จึงได้ออกไปเชิญท้าวพระยาทั้ง ๕ เข้ามาประทับสนทนาซึ่งกันและกัน ณ ท่ามกลางพระอรหันต์ทั้งหลาย แล้วพระมหากัสสปเถระเจ้าจึงถวายพระพรตามปัญหาพระยาธรรมว่า “เขือไป ขามา ขาไป เขือมา” ดังนี้ แล้วพระผู้เป็นเจ้าเอาปัญหาพระยาธรรมผูกเข้ากับปัญหาธรรม เพื่อเล้าโลมน้ำพระทัยพระยาทั้ง ๕ ว่า “คจฺฉนฺติ นรคจฺฉนฺติ โกเว นรโกเว เญยฺยา นรเญยฺยา สากนฺติ นรสากนฺติ โจรํ นรโจรํ เถโน นรเถโน นรา นุเร นุเร” พระมหากัสสปเถระเจ้ากระทำให้พระยาทั้ง ๕ เข้าใกล้กัน และให้ได้วิสาสะคุ้นเคยชอบในพระอัธยาศัยซึ่งกันและกัน
- เชิงอรรถ –
พระมหาเถระเจ้ามองเห็นอนาคตว่า พระยาสุวรรณภิงคารและพระยาคำแดง จักจุติไปเกิดในเมืองอินทปัฐนคร ร่วมพระราชบิดาและพระราชมารดาเดียวกัน จึงได้นำเอาปัญหาพระยาธรรมเข้ามาแทรงแซงว่า “เขือไป” เพื่อเหตุนี้
บทว่า “ขามา” ได้แก่พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร ทั้ง ๒ จักจุติมาเกิดในเมืองจุลณีพรหมทัต ร่วมพระราชบิดาและพระราชมารดาเดียวกัน
บทว่า “ขาไป” นั้น ได้แก่พระยาติโคตรบูร จุติแล้วจักได้ไปบังเกิดเป็นพระยาสุริยวงศาในเมืองสาเกตนคร พระยานันทเสน ผู้เป็นพระอนุชา จักได้เสวยราชสมบัติแทน ๑๓ ปี จึงจะได้เสด็จมาสู่ภูกำพร้าแล้วจึงได้จุติไปเกิดในครรภ์แห่งนางศรีรัตนเทวีพระราชเทวีของพระยาสุริยวงศา
บทว่า เขือมา” นั้น ได้แก่นางศรีรัตนเทวี จะได้จุติมาเกิดในวงศ์พระยานันทเสน พระยาสุริยวงศาก็จักได้จุติมาเกิดเป็นโอรสพระยามรุกขนคร ได้นางศรีรัตนเทวีมาเป็นราชเทวี
อนึ่ง พระมหากัสสปเถระเจ้ามองเห็นว่า ท้าวพระยาทั้งหลายจักได้เป็นพระยาธรรม ค้ำชูพระพุทธศาสนาในเมืองศรีสัตตนาคที่ดอยนันทกังรีและเมืองจันทบุรีศรีสัตตนาค ด้วยเหตุอดีตชาติที่ได้ผลัดเปลี่ยนกันเป็นพระยาศรีโคตรบูรมีอมรฤษีเป็นต้น
พระมหากัสสปเถระเจ้ารู้แจ้งดังนี้ จึงได้นำเอาปัญหาพระยา
- เชิงอรรถ –
ธรรมมาเปรียบเทียบด้วยพระยาทั้ง ๕ พระมหาเถระรำพึงดังนี้ จึงกล่าวว่า “เขือไป ขามา” ดังนี้ ผู้มีปัญญาเป็นบุรุษอาชาไนยหากจักรู้แจ้งต่อไปภายหน้า อรรถกถาต่อไปเป็นปัจจุบันชาติเห็นฉะเพาะหน้า “คจฺฉนฺติ นรคจฺฉนฺติ” ผู้ประเสริฐต่อผู้ประเสริฐ เทียวทางมาเจอะกันเข้า ยิ่งซ้ำประเสริฐกว่าก่อน บทนี้มหาเถระเจ้ามองเห็นในท้าวพระยาทั้ง ๕ ได้สร้างสมบุญสมภารมาแล้ว ๑๐๐๐,๐๐๐ มหากัลป์ ซ้ำได้มาเจอกัน ยิ่งซ้ำประเสริฐยิ่งๆขึ้นไปกว่าแต่ก่อน
บทว่า “โกเว นรโกเว” นี้ แปลว่า ผู้ฉลาดต่อผู้ฉลาด เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำฉลาดรู้ดีงามยิ่งกว่าแต่ก่อน
บทว่า “เญยฺยา นรเญยฺยา” นี้ แปลว่า ผู้รู้ต่อผู้รู้ เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำรู้หลักนักปราชญ์เพิ่มเติมขึ้นไปยิ่งกว่าเก่า
บทว่า “สากนฺติ นรสากนฺติ” นี้ แปลว่า ผู้รักต่อผู้รัก เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำรักกันยิ่งกว่าเก่า
อธิบายความคาถาบทนี้ว่า ต่างคนต่างเป็นท้าวพระยา มีบุญสมภารเกิดแต่ธรรมชาติว่าเป็นผู้ฉลาดรู้หลักรักตน กลัวแต่สังสารทุกขภัย มีหัวใจเป็นมงคล และรักในแก้วทั้ง ๓ เพื่อเป็นที่ไต่ตามเข้าไปสู่พระนิพพาน ไม่มีความคดเลี้ยวด้วยการสงคราม
บทว่า “โจรํ นรโจรํ” นี้ แปลว่า ผู้เป็นโจรต่อผู้เป็นโจร เทียวทางมาเจอะกันเข้า ยิ่งซ้ำชวนกันประพฤติเป็นโจร เที่ยวฆ่าฟันแย่งชิงยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
- เชิงอรรถ –
บทว่า “เถโน นรเถโน” นี้ แปลว่า ผู้ชำนาญในการลักขะโมย เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำชวนกันไปเที่ยวลักขะโมยยิ่งกว่าแต่ก่อน
บทว่า “นรา นุเร นุเร” นี้ แปลว่า คนทั้งหลายผู้ที่เป็นสับบุรุษมีความเพียร เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำชวนกันกระทำความเพียรยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน อธิบายว่าพระยาทั้ง ๓ ที่มานี้ ถึงแม้จะมีเครื่องศาสตราวุธกระทำยุทธสงครามมาด้วยก็จริง ก็หาใช่พระราชาทั้ง ๓ มีพระราชประสงค์เช่นนั้นดอก พระราชาทั้ง ๓ หากเป็นสับบุรุษผู้มีความเพียรเสมอกัน
พระราชาทั้ง ๓ ทรงทราบข่าวสาสน์ว่า พระอรหันต์ ๕๐๐ จะนำเอาพระอุรังคธาตุมาประดิษฐาน ณ ที่นี้ พระองค์แสวงหายังพระนิพพานเสมอด้วยพระยาทั้ง ๒ พระมหากัสสปเถระเจ้ารู้แจ้งในพุทธวิสัยที่พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้นั้นว่า “กปฺปนคิริ” แปลว่า ดอยเข็ญใจเป็นกำพร้า พระพุทธเจ้าอาศัยซึ่งพระยาติโคตรบูรพระองค์นั้น เมื่อชาติหนหลัง พระยาได้นำเอา ลูกนก ไข่เต่า และไข่ตะกวด มากินและขายเลี้ยงชีวิต ครั้นเกิดมาจึงได้เป็นคนเข็ญใจและปราศจาก บิดา มารดา บุตร ภรรยา และเสนาอำมาตย์ที่พึงใจ พระองค์จักได้เป็นผู้ฐปนาพระอุรังคธาตุไว้ในดอยอันนี้ๆจึงได้ชื่อว่า ดอยเข็ญใจภูกำพร้า ก็เพื่อเหตุอันนั้น
อนึ่ง พระพุทธเจ้าสั่งให้เอาพระอุรังคธาตุมาประดิษฐานเป็นภาษา
- เชิงอรรถ –
บาลีว่า “อุรงฺคธาตุ” ในดอยเข็ญใจ ตามที่พระศาสดาตรัสว่า พระยาติโคตรบูรเสมออก พระยาเป็นเชื้อเนื้อหน่อพุทธวงศา ท้าวพระยาทั้ง ๕ ที่มา ก็เป็นเนื้อหน่อพระอรหันต์ และเป็นพระยาธรรมสืบพระพุทธศาสนา พระมหากัสสปเถระเจ้ามองเห็นเหตุดังนี้ จึงเทศนาให้พระยาทั้ง ๕ ทรงทราบแต่เล็กน้อย
เมื่อพระยาทั้ง ๕ จุติ ได้มาเป็นพระอรหันต์ จึงแจ้งด้วยบุพเพนิวาสญาณและปรสัญญิตญาณในปัญหาที่ว่า เขือไป ขามา ขาไป เขือมา และแจ้งในบทคาถาที่ผูกไว้ให้พระมหากัสสปเถระเจ้า แจ้งในคุณพระอรหันต์ทั้ง ๕ จึงได้กล่าวไว้ในนิทานอันนี้ เพื่อให้นักปราชญ์ทั้งหลายรู้ต่อไปภายหน้า เมื่อใดยังมีสาวกบารมีญาณและโพธิญาณนั้นไม่กล่าว เหตุท่านเหล่านี้รู้แจ้งในธรรมทั้งสิ้นอยู่แล้ว
ครั้งนั้น พระยาสุวรรณภิงคาร พระยาคำแดง พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร พระยานันทเสน ได้ทรงสดับพระมหากัสสปเถระเจ้าอธิบายในคาถานั้นๆมีพระทัยชุ่มชื่นและมีความเสนหาซึ่งกันและกัน พระราชาทั้ง ๕ จึงตรัสสั่งให้บริวารแห่งตนๆไปขนเอาหินเหล่านั้นมาก่ออุโมงค์ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ
พระมหากัสสปเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งหลายจึงทูลว่า หินเหล่านั้นได้แต่ก่อแล้วแต่ก่อน ไม่แล้ว ละทิ้งเสีย ไม่เป็นมงคล ให้ปั้นดินดิบก่อเป็นอุโมงค์แล้วเอาไฟเผาเอาเทอญ ไม่ยิ่งไม่หย่อนในพระพุทธศาสนาภายหน้าดอก พระอรหันต์ทั้งหลายว่าดังนี้
- เชิงอรรถ –
ท้าวพระยาทั้ง ๕ จึงตรัสสั่งให้คนทั้งหลายปั้นดินดิบ และให้ทำแม่พิมพ์เท่าฝ่ามือพระมหากัสสปเถระเจ้า เป็นต้นแบบตัวอย่างปั้นดินดิบนั้น เมื่อปั้นได้พอแล้ว พระยาสุวรรณภิงคาร พระองค์เริ่มขุดหลุมด้วยพระองค์เองก่อน พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร และพระยานันทเสน จึงขุดเป็นลำดับตัวไป เสนาอำมาตย์และอาณาประชาราษฎรทั้งหลายจึงได้ขุดต่อไป หลุมนั้นลึก ๒ ศอกของพระมหากัสสปเถระเจ้า กว้าง ๒ วา พระมหากัสสปเถระเจ้า เท่ากันทั้ง ๔ ด้าน ท้าวพระยาทั้ง ๔ จึงแบ่งปันกันก่อองค์ละด้าน
พระยาจุลณีพรหมทัต ทรงก่อด้านตะวันออก และทรงบริจาคพระราชทรัพย์และวัตถุสิ่งอื่นรองบูชาไว้ภายใต้ด้านที่พระองค์ทรงก่อนั้น เงินแน่น ๕,๕๕๐ แน่นๆหนึ่ง มีกำหนด ๔๐๐๑ ทองคำ ๕๕๐ แน่น แน่นหนึ่งหนัก ๓๐๐ ฆ้อง ๑๙ กำ ๙ ลูก ๑๗ กำ ๗ ลูก
พระยาอินทปัฐนคร ทรงก่อด้านใต้และทรงบริจาคพระราชทรัพย์บูชาไว้ เงิน ๙,๙๙๙,๙๐๐ ปลอกมงกุฎทองคำมี ๓๓,๓๓๐ ทรงหล่อเป็นรูปเรือรองไว้ภายใต้ด้านที่พระองค์ก่อ
พระยาคำแดงทรงก่อด้านตะวันตกและทรงบริจาคพระราชทรัพย์บูชา เป็นต้นว่า กระโถนทองคำลูกหนึ่ง หนัก ๖๐,๐๐๐ แล้วเอาแหวนใส่ในกระโถนนั้นให้เต็ม เงิน ๓๐๐,๐๐๐ มงกุฎแก้วมรกตคู่หนึ่ง ปิ่นทองคำคู่หนึ่ง พานทองคำ ๗,๐๐๐ ลูก แล้วเอาหินมุกด์
- เชิงอรรถ ๑ หนัก ๔๐๐ จะเป็นบาทหรือตำลึงไม่ทราบแน่
มาทำเป็นหีบใส่ข้าวของนั้นๆ เอาลงไปรองไว้ภายใต้ด้านที่พระองค์ก่อ
พระยานันทเสนทรงก่อด้านเหนือ พระองค์ทรงบริจาควัตถุข้าวของเป็นต้นว่า ขันทองคำลูกหนึ่ง หนัก ๗,๐๐๐ แล้วเอาแหวนทองคำบรรจุลงในขันนั้นให้เต็มบริบูรณ์ ขันเงินลูกหนึ่ง หนัก ๙,๐๐๐ แล้วเอาปิ่นทองคำบรรจุลงในนั้นให้เต็มบริบูรณ์ ไตเงิน ๒ ลูก หนัก ๑๙,๐๐๐ แล้วเอาม้าวบรรจุลงในไตเงินให้เต็มทั้ง ๒ ลูกๆละ ๕๐ คู่ๆหนึ่งหนัก ๒๐ เงิน ๙๐,๐๐๐ บรรจุลงในฆ้อง ๑๗ กำ ๗ ลูก ๑๕ กำ ๕ ลูก ๑๓ กำ ๓ ลูก บูชารองไว้ภายใต้ด้านที่พระองค์ก่อ
พระยาสุวรรณภิงคาร พระองค์ทรงบริจาควัตถุข้าวของถวายบูชาเป็นต้นว่า มงกุฎทองคำคู่หนึ่ง หนักมงกุฎละ ๓๐,๐๐๐ สังวาลย์ทองคำคู่หนึ่ง หนักสังวาลย์ละ ๓๐๐,๐๐๐ กระโถนทองคำลูกหนึ่ง หนัก ๙๐,๐๐๐ แล้วเอาแหวนทองคำและกระจอนหู บรรจุลงในกระโถนให้เต็ม พานทองคำลูกหนึ่ง หนัก ๗๐,๐๐๐ เอาวันละคังบรรจุลงในพานนั้นให้เต็ม โอทองคำ ๙ ลูกๆหนึ่ง หนัก ๒,๐๐๐ โอเงิน ๙ ลูก หนักลูกละ ๕,๐๐๐ โอนาก ๗ ลูก หนักลูกละ ๕,๐๐๐ รองไว้ภายใต้อุโมงค์ท่ามกลางท้าวพระยาทั้งหลาย
เมื่อพระยาทั้ง ๔ จะทรงก่ออุโมงค์นั้น พระมหากัสสปเถระเจ้าจึงบอกให้เอาไหน้ำใหม่มาตั้งไว้ด้านละลูก จารึกคาถามงคลโลกใส่
- เชิงอรรถ –
ลงไว้ในไหทุกลูก แล้วสวดราหุลปริตรสูตร ให้ท้าวพระยาทั้ง ๕ มีพระยาสุวรรณภิงคารเป็นประธาน ทรงตักน้ำในไหนั้นประพรมอุโมงค์ให้ตลอดทั้ง ๔ ด้าน แล้วประทักษิณเวียนขวา ๓ รอบ พระยาจุลณีพรหมทัต ทรงตักเอาน้ำในไหประพรมด้านตะวันออก แล้วจึงให้ก่อขึ้น พระยาอินทปัฐนคร พระยาคำแดง และพระยานันทเสน ก็ทรงกระทำเหมือนพระยาจุลณีพรหมทัตนั้น เมื่อทรงก่อด้านใดก็เอาน้ำประพรมด้านนั้น แล้วจึงให้ก่อขึ้นไป ท้าวพระยาทั้ง ๕ พร้อมกันก่ออุโมงค์เป็นรูปเตาขึ้นไปแต่พื้นดินเป็นสี่เหลี่ยม สูงขึ้นไปวาหนึ่งแล้วหยุดไว้ ต่อแต่นั้นขึ้นไป พระยาสุวรรณภิงคารทรงก่อเป็นรูปฝาระมีตลอดขึ้นไปจนถึงที่สุดยอดได้วาหนึ่งของพระมหากัสสปเถระเจ้า วัดแต่ฐานขึ้นไปถึงยอดสุดได้ ๒ วา ของพระมหากัสสปเถระเจ้า แล้วทำประตูเตาฮางไว้ทั้ง ๔ ด้าน จึงให้เอา ไม้จวง ไม้จันทน์ ไม้กลัมพัก ไม้คันธรส ไม้ชมพู ไม้นิโครธ และไม้รัง มาทำเป็นฟืนเผา ๓ วัน ๓ คืน สุกดีแล้ว ให้ขนเอาหินหมากคอมกลางโคกที่เป็นมงคลมากลบลงในหลุมนั้น
พระมหากัสสปเถระเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันต์กับทั้งท้าวพระยาทั้ง ๕ จึงไปนำเอาพระอุรังคธาตุเข้าไปฐปนาไว้ในอุโมงค์นั้น แล้วให้ปิดประตูไว้ทั้ง ๔ ด้าน
ขณะนั้น พระอุรังคธาตุที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้ากัมพล ทรงกระทำปาฏิหาริย์ เสด็จออกมาประดิษฐานอยู่บนฝ่ามือก้ำขวาของพระมหา
- เชิงอรรถ –
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น